พระองคุลิมาละ
"พระองคุลิมาละ
สัณฐานคอดดังคอสากบ้าง ที่มีรูโปร่งตลอดเส้นผมลอดได้ก็มี
พรรณขาวดังสีสังข์ เหลืองดังดอกจำปา สีฟ้าหมอก"
ประวัติ
องคุลิมาล(อังคุลิมาล) พระมหาสาวกหนึ่งในอสีติมหาสาวก
พระองคุลิมาล เป็นบุตรของคัคคพราหมณ์ (ภัคควพราหมณ์) ซึ่งเป็นปุโรหิตาจารย์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล
แห่งนครสาวัตถี โกศลรัฐ มารดาของท่านชื่อมันตานี ท่านเกิดเวลากลางคืน
ตรงกับฤกษ์โจร เวลาท่านเกิดนั้น บรรดาศัสตราอาวุธทั่วพระนคร
ตลอดจนพระแสงหอกดาบของพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ลุกเป็นเปลวเพลิง
บิดาของท่านเห็นว่าลางร้ายที่เกิดขึ้นนั้น เป็นเพราะลูกชายของตน
จึงนำความไปกราบทูลพระเจ้าปเสนทิโกศลให้ทรงทราบ และกราบทูลขอให้ประหารลูกชายของตนเสีย
แต่พระเจ้าปเสนทิโกศล หาได้ทรงกระทำตามไม่ กลับรับสั่งให้เลี้ยงไว้
เพราะทราบจากบิดาของท่านว่า ท่านจะเป็นเพียงโจรร้ายต่อเอกชน
ไม่ถึงกับเป็นโจรแย่งราชสมบัติ เวลาท่านเกิดขึ้น แม้ศัสตราอาวุธจะเกิดเป็นลางร้าย
แต่หาได้เป็นอันตรายหรือเบียดเบียนใครไม่ ฉะนั้น เพื่อเป็นนิมิตรอันดีงาม
เมื่อถึงวันตั้งชื่อ บิดามารดาจึงตั้งชื่อท่านว่าอหิงสกกุมารซึ่งแปลว่าผู้ไม่เบียดเบียนใคร
เมื่ออหิงสกกุมารมีอายุพอจะศึกษาศิลปวิทยาแล้ว บิดามารดาจึงส่งไปเรียนกับอาจารย์ทิศาปาโมกข์ที่เมืองตักกศิลา
อหิงสกกุมารเป็นคนขยัน ตั้งใจเรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย
คอยรับใช้อาจารย์ด้วยความเคารพ พูดจาไพเราะ จึงเป็นที่พอใจของอาจารย์มาก
แต่ศิษย์คนอื่น ๆ เห็นท่านเป็นคนโปรดของอาจารย์ก็ริษยา พากันออกอุบายยุยงให้อาจารย์เกลียดชังและให้ฆ่าท่าน
ทีแรกอาจารย์ไม่เชื่อ แต่เมื่อถูกยุยงหนักเข้าก็กลับใจเชื่อแล้วหาอุบายฆ่าท่าน
โดยสั่งให้อหิงสก กุมารไปฆ่าคนให้ได้พันคน แล้วตัดเอานิ้วมือขวามาคนละนิ้ว
ให้ได้จำนวนพันนิ้ว เพื่อประกอบพิธีบูชาครู (ครุทักษิณา) ที่อาจารย์สั่งเช่นนี้
ก็เพื่อออกอุบายยืมมือคนอื่นฆ่า ด้วยเห็นว่า เมื่ออหิงสกกุมารปฏิบัติตามคำสั่งของตน
ก็จะต้องมีใครคนใดคนหนึ่งต่อสู้ และฆ่าท่านจนได้ ทีแรกอหิงสกกุมารปฏิเสธ
โดยอ้างว่าท่านเกิดในตระกูลที่ไม่เบียดเบียนใคร แต่อาจารย์บอกว่า
ศิลปศาสตร์ที่เรียนไปแล้ว ถ้ามิได้บูชาครู ก็จะไม่อำนวยผลที่ต้องการ
ด้วยนิสัยรักวิชาอหิงสกกุมารจึงยอมปฏิบัติตาม โดยออกไปสู่ป่าชาลิวัน
ในแคว้นโกศลอาศัยอยู่ที่หุบเขาแห่งหนึ่ง คอยดักฆ่าคนเดินทาง
ออกเที่ยวปล้นหมู่บ้านและตำบลต่าง ๆ เป็นโกลาหล ได้ฆ่าคนล้มตายเป็นจำนวนมาก
แล้วตัดเอานิ้วมือคนที่ตายคนละหนึ่งนิ้วมาทำเป็นพวงมาลัยคล้องคอไว้
ฉะนั้นคนจึงเรียกชื่อท่านว่า องคุลิมาล การกระทำอันอุกอาจเหี้ยมหาญขององคุลิมาล
ได้ทำให้ผู้คนในหมู่บ้านและตำบลต่าง ๆ หวาดกลัวเป็นที่สุด
ไม่เป็นอันหลับอันนอน พากันทิ้งบ้านเรือน อุ้มลูกจูงหลายอพยพหลบภัยไปสู่พระนครสาวัตถี
แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระเจ้าปเสนทิโกศล ขณะนั้นคัคคพราหมณ์ผู้เป็นบิดาขององคุลิมาลนึกเดาถูกว่า
โจรองคุลิมาลนั้น จะต้องเป็นอหิงสกกุมารลูกชายของตนแน่ และกลัวว่าพระเจ้าปเสนทิโกศลจะเสด็จไปจับลูกชายของตนประหารเสีย
จึงหารือกับนางมันตานีว่า จะทำอย่างไรดี ในที่สุด นางมันตานี
ผู้มารดาก็ตัดสินใจรีบออกเดินทางไป เพื่อนำลูกชายหลบหนีมาบ้าน
เวลานั้น โจรองคุลิมาลได้นิ้วมือไม่ครบ ๑,๐๐๐ นิ้ว ยังขาดอยู่นิ้วเดียวเท่านั้น
จึงกระหายเป็นกำลัง และตั้งใจว่า ถ้าพบใครก่อนก็จะฆ่าทันทีเพื่อจะได้นิ้วมือครบตามต้องการ
แล้วจะได้ตัดผม โกนหนวดอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปเยี่ยมบิดามารดาเช้าตรู่วันนั้น
พระบรมศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ทรงเห็นว่าองคุลิมาลเป็นผู้มีอุปนิสัยพอที่จะโปรดให้บรรลุมรรคผลได้
และทรงพระดำริเห็นว่าถ้าพระองค์มิได้เสด็จไปโปรด องคุลิมาลก็จะฆ่ามารดาของตนเสีย
จะเป็นผู้บาปหนักอย่างช่วยไม่ขึ้น พระองค์จึงเสด็จมุ่งตรงไปยังป่าชาลิวัน
เป็นระยะทาง ๓๐ โยชน์ เพื่อสกัดองคุลิมาลไว้ มิให้ทันได้ฆ่ามารดา
ในระหว่างทางนั้น พวกคนเลี้ยงโคได้พากันวิ่งเข้าไปกราบทูลขอร้องมิให้เสด็จไปหาองคุลิมาล
เพราะกลัวพระองค์จะได้รับอันตราย แต่พระพุทธองค์ทรงเฉยเสีย
แล้วเสด็จดำเนินต่อไปจนถึงป่าชาลิวัน เมื่อเห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล
องคุลิมาลก็ประหลาดใจ เพราะผู้คนที่เคยเดินทางผ่านมายังป่านนั้น
แม้มีจำนวนเป็นสิบ ๆ ก็ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของตนทั้งนั้น
เมื่อเห็นพระพุทธองค์เสด็จมาพระองค์เดียว ก็ให้นึกเคืองขึ้นทันที
เห็นว่าเป็นการมาข่มขู่ดูหมิ่นตนอย่างชัด ๆ จึงตัดสินใจจะสังหารพระพุทธองค์ให้สมใจนึก
แล้วฉวยเอาดาบและธนูสะพายแล่ง เขม้นมอง วิ่งออกติดตามพระพุทธองค์ทันที
ความตอนนี้ ท่านพระธรรมปาลาจารย์ กล่าวว่า ก่อนที่พระพุทธองค์จะเสด็จไปถึงป่าชาลิวัน
มารดาองคุลิมาลได้เดินทางไปถึงก่อน พอเห็นมารดาเดินมาคนเดียวแต่ที่ไกล
องคุลิมาลก็ตัดสินใจจะฆ่ามารดาทันทีแล้วชักดาบขึ้นเงื้อง่า
วิ่งเข้าไปมารดาของตน ทันใดนั้น พระพุทธองค์ก็เสด็จไปถึง ทรงแสดงพระองค์ปรากฏอยู่ท่ามกลางระหว่างคนทั้งสองนั้น
ครั้นองคุลิมาลเห็นเช่นนั้นก็เปลี่ยนใจ จะไม่ฆ่ามารดาของตน
แต่จะปลงพระชนม์พระพุทธองค์แทน จึงชักดาบเงื้อง่า วิ่งติดตามพระพุทธองค์ทันที
แต่ด้วยพุทธานุภาพ องคุลิมาลวิ่งไล่ติดตามเป็นระยะทางตั้ง
๓ โยชน์ พยายามวิ่งเท่าไร ๆ ก็ไม่ทันพระพุทธองค์ จึงเหนื่อยหอบ
น้ำลายแห้งผากเหงื่อไหลโชก แล้วหยุดยืนตะโกนเรียกพระพุทธองค์ว่า
"หยุดสมณะ! หยุดซีสมณะ!" พระพุทธองค์จึงมีพระดำรัสตอบว่า
"ดูก่อนองคุลิมาล เราได้หยุดแล้ว เธอจงหยุดเถิด"
องคุลิมาลได้ฟังพระดำรัสเช่นนั้น ก็เกิดเฉลียวใจและสงสัยทันที
แล้วทูลถามพระพุทธองค์ว่า "สมณะ ท่านกำลังเดินอยู่แท้
ๆ ไฉนจึงบอกว่าท่านได้หยุดแล้ว ข้าหยุดยืนอยู่แท้ ๆ ไฉนท่านจึงบอกให้ข้าหยุดอีกเล่า?"
พระพุทธองค์มีพระดำรัสตอบว่า "องคุลิมาล เราได้หยุด คือเลิกฆ่าสัตว์ตัดชีวิตแล้ว
ส่วนตัวเธอยังไม่หยุด คือยังฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอยู่ เราจึงพูดเช่นนั้น"
องคุลิมาลได้ยินพระสุรเสียงอันแจ่มใส พระดำรัสที่คมคายเช่นนั้น
ก็เกิดใจอ่อนรู้สึกสำนึกผิดได้ทันที แล้ววางดาบทิ้งธนู สลัดแล่ง
โยนทิ้งลงเหวที่หุบเขาเข้าไปถวายบังคมพระบาทยุคลของพระพุทธองค์
ทูลขอบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้บวชเป็นภิกษุ
ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาแล้วเสด็จพาองคุลิมาลภิกษุไปสู่พระเชตวันมหาวิหาร
ณ กรุงสาวัตถี ขณะนั้น ด้วยการเรียกร้องของประชาชน พระเจ้าปเสนทิโกศลจึงได้เสด็จเคลื่อนพลออกจากนครสาวัตถี
เพื่อไปปราบองคุลิมาล และได้เสด็จแวะเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเชตวัน
กราบทูลเล่าเรื่องที่จะเสด็จไปปราบองคุลิมาลให้ทรงทราบ พระพุทธองค์จึงแนะนำให้รู้จักภิกษุองคุลิมาล
ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ พระองค์ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงสะดุ้งกลัว
และแปลกพระทัยมากที่พระพุทธองค์ทรงสามารถปราบโจรร้ายได้ โดยไม่ต้องใช้อาญาและศัสตราอาวุธใด
ๆ แล้วทรงปวารณาจะอุปถัมภ์ภิกษุองคุลิมาลด้วยปัจจัย ๔ แต่ภิกษุองคุลิมาลปฏิเสธ
เพราะท่านถือธุดงควัตร ๔ ประการคือถืออยู่ป่า ออกบิณฑบาต นุ่งห่มผ้าบังสุกุล
และถือไตรจีวรเป็นนิจ
ครั้งหนึ่ง ท่านเข้าไปบิณฑบาตในกรุงสาวัตถี ชาวพระนครเห็นเข้าตกใจกลัว
พากันวิ่งหนีเป็นอลหม่าน บ้างก็ปิดประตูบ้านประตูเรือน ที่หนีไม่ทันก็หันหลังให้
ท่านไม่ได้อาหารเลยแม้แต่ทัพพีเดียว ต่อมา ท่านเข้าไปบิณฑบาต
เห็นหญิงคลอดลูกไม่ออกคนหนึ่ง จึงเกิดความสงสารใคร่จะช่วย
เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ
พระพุทธองค์จึงตรัสบอกมนต์คลอดลูกง่ายให้บทหนึ่ง ท่านเรียนมนต์นั้นแล้วกลับเข้าไปช่วยหญิงคนนั้น
ได้ทำให้คลอดลูกง่ายเหมือนเทน้ำจากกระบอกกรองน้ำ มนต์บทนั้น
มีชื่อว่า มหาปริตต์ (องคุลิมาลปริตต์) นับแต่วันที่ช่วยหญิงคนนั้นคลอดลูกมา
ภิกษุองคุลิมาลก็มีอาหารฉันอุดมสมบูรณ์ขึ้น
ต่อมา ภิกษุองคุลิมาล ก็หลีกออกจากคณะไปบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ผู้เดียว
ไม่นานเท่าไรนัก ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ครั้งหนึ่ง ท่านได้เข้าไปบิณฑบาติในเมืองสาวัตถี
ถูกประชาชนขว้างปาด้วยก้อนอิฐ ก้อนหิน และท่อนไม้ จนศีรษะแตก
เลือกไหล บาตรก็แตก ผ้าสังฆาฏิก็ขาด เข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์
แล้วตั้งอยู่ในพระพุทธโอวาทที่ทรงแนะนำให้เป็นผู้รู้จัดอดทนและให้ถือว่าเป็นการใช้กรรมชั่วครั้งก่อนของท่าน
ในอรรถกถาธรรมบทกล่าวว่า หลังจากอุปสมบทแล้วไม่นานนัก ท่านก็ปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุการโปรดองคุลิมาล
นับเป็นการทรงกระทำสิ่งที่ทำได้ยากและเป็นข้อที่น่าอัศจรรย์ยิ่งของพระพุทธองค์
เช่นในมหาสุตโสมชาดก(๗) พระสงฆ์ก็สนทนากันปรารภถึงเรื่องนี้
การอนุญาตให้องคุลิมาลบวชได้เป็นเรื่องที่ประชาชนยกขึ้นตำหนิพระสงฆ์
และพระพุทธองค์ก็ทรงบัญญัติพระวินัยห้ามมิให้บวชโจรที่ถูกจับได้ต่อไป
ชีวิตขององคุลิมาลนับเป็นตัวอย่างของการทำบุญเพื่อพ้นจากผลบาปเก่าอันจะเกิดขึ้น