อภิรูปนันทาเถริยาปทานที่
๖
ว่าด้วยบุพจริยาของพระอภิรูปนันทาเถรี
[๑๗๖]
ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกของโลกพระนามว่าปัสสี
มีพระเนตรงาม มีพระจักษุในธรรมทั้งปวง เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว
ครั้งนั้น ดิฉันเกิดในสกุลใหญ่ที่มั่งคั่งเจริญ ในพระนครพันธุมดี
เป็นหญิงมีรูปงาม น่าพึงใจและเป็นที่บูชาของประชุมชน ได้เข้าเฝ้าพระพุทธวิปัสสีผู้มีความเพียรมาก
เป็นนายกของโลก ได้ฟังธรรมแล้วถึงพระองค์เป็นสรณะ สำรวมอยู่ในศีล
เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
ผู้มีพระคุณสูงสุดกว่านรชนปรินิพพานแล้ว ดิฉันได้เอาฉัตรทองบูชาไว้
ณ เบื้องบนแห่งพระสถูปที่บรรจุพระธาตุ ดิฉันเป็นผู้มีจาคะอันสละแล้ว
มีศีลจนตลอดชีวิต เคลื่อนจากอัตภาพนั้น ละร่างกายมนุษย์แล้ว
ได้ไปสู่ภพดาวดึงส์ ครั้งนั้น ดิฉันครอบงำเทพธิดาทั้งหมดด้วยฐานะ
๑๐ ประการ คือ ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อายุ วรรณะ
สุข ยศ และความเป็นอธิบดี รุ่งโรจน์ปรากฏอยู่
ในภพหลังครั้งนี้
ดิฉันเกิดในพระนครกบิลพัสดุ์เป็นธิดาของศากยราชนามว่าเขมกะ
มีนามปรากฏว่านันทา ประชุมชนกล่าวว่า ดิฉันเป็นผู้หนึ่งซึ่งมีความถึงพร้อมด้วยรูปงามน่าชม
เมื่อดิฉันเติบโตเป็นสาว (รู้จัก) ตกแต่งรูปและผิวพรรณ พวกศากยราชมีความวิวาทกันมากเพราะตัวดิฉัน
ครั้งนั้น พระบิดาของดิฉันกล่าวว่า พวกศากยราชอย่าฉิบหายเสียเลย
จึงให้ดิฉันบวชเสีย ครั้นดิฉันบวชแล้วได้ฟังว่า พระตถาคตเจ้าผู้มีพระคุณสูงสุดกว่านรชน
ทรงติรูป จึงไม่เข้าไปเฝ้า เพราะดิฉันชอบรูปกลัวจะพบพระพุทธเจ้า
จึงไม่ไปรับโอวาท
ครั้งนั้น
พระพิชิตมารทรงให้ดิฉันเข้าไปสู่สำนักของพระองค์ด้วยอุบาย
พระองค์ทรงฉลาดในทางอุบาย ทรงแสดงหญิง ๓ ชนิด ด้วยฤทธิ์ คือ
หญิงสาวสวยเหมือนรูปเทพอัปสร หญิงแก่ หญิงตายแล้ว ดิฉันเห็นหญิงทั้ง
๓ แล้ว มีความสลดใจ ไม่ยินดีในซากศพหญิงที่ตายแล้ว มีความเบื่อหน่ายในภพเฉยอยู่
ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคนายกของโลกตรัสกะดิฉันว่า ดูกรนักทาท่านจงดูร่างกายที่ทุรนทุราย
ไม่สะอาด โสโครก ไหลเข้าถ่ายออกอยู่ ที่พวกพลาชนปรารถนากัน
ท่านจงอบรมจิตให้เป็นสมาธิมีอารมณ์อย่างเดียวด้วยอสุภเถิด
รูปนี้เป็นฉันใด รูปท่านนั้นก็เป็นฉันนั้น รูปท่านนั้นเป็นฉันใด
รูปนี้ก็เป็นฉันนั้น เมื่อท่านพิจารณาเห็นรูปนั้น อย่างนี้
มิได้เกียจคร้านทั้งกลางคืนกลางวัน แต่นั้นก็จะเบื่อหน่ายอยู่ด้วยปัญญาของตน
ดิฉันผู้ไม่ประมาท พิจารณาในร่างกายนี้อยู่โดยแยบคาย ก็เห็นกายนี้ทั้งกายในภายนอกตามความเป็นจริง
เมื่อเป็นเช่นนั้น
ดิฉันจึงเบื่อหน่ายในกาย และไม่ยินดีเป็นภายใน ไม่ประมาท ไม่เกาะเกี่ยว
เป็นผู้สงบเย็นแล้ว ข้าแต่พระมหามุนี หม่อมฉันเป็นผู้มีความชำนาญในฤทธิ์
ในทิพโสตธาตุ และในเจโตปริยญาณ รู้ปุพเพนิวาสญาณและทิพจักษุอันหมดจดวิเศษ
หม่อมฉันสิ้นอาสวะทั้งปวงแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า
หม่อมฉันมีญาณในอรรถะ ธรรมะ นิรุตติ และปฏิภาณ เกิดขึ้นแล้วในสำนักของพระองค์
ดิฉันเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... พระพุทธศาสนา ดิฉันได้ทำเสร็จแล้ว.
ทราบว่า ท่านพระอภิรูปนันทาภิกษุณีได้กล่าวคาถาเหล่านี้
ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอภิรูปนันทาเถริยาปทาน.