พระสันตติมหาอำมาตย์
"พระสันตติมหาอำมาตย์
สัณฐานดังดอกมะลิตูม พรรณขาวดังสีสังข์"
ประวัติ
สันตติมหาอำมาตย์
สันตติมหาอำมาตย์
เป็นอำมาตย์ของพระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้งหนึ่งได้ไปปราบปรามโจรที่ปัจจันตชนบท
เมื่อสงบแล้วจึงกลับมา พระราชาทรงพอพระหฤทัย ประทานราชสมบัติให้
และหญิงผู้ฉลาดในการฟ้อนและการขับนางหนึ่งแก่ท่าน ท่านจึงมัวเมาด้วยกามและสุราอยู่
๗ วัน ในวันที่ ๗ ท่านประดับด้วยเครื่องอลังการทุกอย่างแล้ว
จึงขึ้นสู่คอช้างไปสู่ท่าอาบน้ำ ก็เห็นพระศาสดากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตที่ระหว่างประตู
ท่านจึงผงกศีรษะถวายบังคม
พระศาสดาทรงทำการแย้ม
พระอานนท์ทูลถามว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล
? เป็นเหตุให้ทรงกระทำการแย้มให้ปรากฏ"
เมื่อจะตรัสบอกเหตุแห่งการแย้ม จึงตรัสว่า "อานนท์ เธอจงดูสันตติมหาอำมาตย์,
ในวันนี้เอง เขาทั้งประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่างเทียว มาสู่สำนักของเรา
จักบรรลุพระอรหัตในเวลาจบคาถาอันประกอบด้วยบท ๔ แล้ว นั่งบนอากาศ
ชั่ว ๗ ลำตาล จักปรินิพพาน."
มหาชนได้ฟังพระดำรัสของพระศาสดา
ผู้กำลังตรัสกับพระเถระอยู่ คน ๒ พวกมีความคิดต่างกัน บรรดามหาชนเหล่านั้น
พวกมิจฉาทิฏฐิ คิดว่า "ท่านทั้งหลายจงดูกิริยาของพระสมณโคดม,
พระสมณโคดมนั้น ย่อมพูดสักแต่ปากเท่านั้น, ได้ยินว่า ในวันนี้
สันตติมหาอำมาตย์นั่น มึนเมาสุราอย่างนั้นแต่งตัวอยู่ตามปกติ
ฟังธรรมในสำนักของพระสมณโคดมนั้นแล้ว จักปรินิพพาน, ในวันนี้
พวกเราจักจับผิดพระสมณโคดมนั้นด้วยมุสาวาท."
พวกสัมมาทิฏฐิ
คิดกันว่า "น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีอานุภาพมาก,
ในวันนี้เราทั้งหลายจักได้ดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้าและการเยื้องกรายของสันตติมหาอำมาตย์"
ส่วนสันตติมหาอำมาตย์ เล่นน้ำตลอดวันที่ท่าอาบน้ำแล้ว ไปสู่อุทยาน
นั่งที่พื้นโรงดื่ม ฝ่ายหญิงนั้น ลงไปในท่ามกลางที่เต้นรำ
เริ่มจะแสดงการฟ้อนและการขับ, เมื่อนางแสดงการฟ้อนการขับอยู่ในวันนั้น
ลมมีพิษเพียงดังศัสตราเกิดขึ้นแล้วในภายในท้อง ได้ตัดเนื้อหทัยแล้ว
เพราะความที่นางเป็นผู้มีอาหารน้อยถึง ๗ วัน เพื่อแสดงความอ้อนแอ้นแห่งสรีระ
ในทันทีทันใดนั้นเอง นางมีปากอ้าและตาเหลือก ได้กระทำกาละแล้ว.
โศกเพราะภรรยาตาย
สันตติมหาอำมาตย์
กล่าวว่า "ท่านทั้งหลาย จงตรวจดูนางนั้น" ในขณะสักว่าคำอันชนทั้งหลายกล่าวว่า
"หญิงนั้นดับแล้ว นาย" ดังนี้ ถูกความโศกอย่างแรงกล้าครอบงำแล้ว.
ในขณะนั้นเอง สุราที่เธอดื่มตลอด ๗ วัน ได้ถึงความเสื่อมหายแล้ว
ประหนึ่งหยาดน้ำในกระเบื้องที่ร้อนฉะนั้น. เธอคิดว่า "คนอื่น
เว้นพระตถาคตเสีย จักไม่อาจเพื่อจะ
ยังความโศกของเรานี้ให้ดับได้" มีพลกายแวดล้อมแล้ว ไปสู่สำนักของพระศาสดาในเวลาเย็น
ถวายบังคมแล้ว กราบทูลอย่างนี้ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ความโศกเห็นปานนี้เกิดขึ้นแก่ข้าพระองค์, ข้าพระองค์มาแล้ว
ก็ด้วยหมายว่า พระองค์จักอาจเพื่อจะดับความโศก ของข้าพระองค์นั้นได้,
ขอพระองค์จงทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระองค์เถิด."
พระศาสดาระงับความโศกของบุคคลได้
ลำดับนั้น
พระศาสดาตรัสกะเธอว่า "ท่านมาสู่สำนักของผู้สามารถเพื่อดับความโศกได้แน่นอน,
อันที่จริง น้ำตาที่ไหลออกของท่านผู้ร้องไห้ในเวลาที่หญิงนี้ตาย
ด้วยเหตุนี้นั่นแล มากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้ง ๔" ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถานี้ว่า
"กิเลสเครื่องกังวลใด มีอยู่ในกาลก่อน เธอจง
ยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น ให้เหือดแห้งไป กิเลสเครื่อง
กังวล จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง, ถ้าเธอจักไม่ยึด
ถือขันธ์ ในท่ามกลาง จักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป."
ในกาลจบพระคาถา สันตติมหาอำมาตย์ บรรลุพระอรหัตแล้วพิจารณาดูอายุสังขารของตน
ทราบความเป็นไปไม่ได้แห่งอายุสังขารนั้นแล้ว จึงกราบทูลพระศาสดาว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตการปรินิพพานแก่ข้าพระองค์เถิด."
พระศาสดาแม้ทรงทราบกรรมที่เธอทำแล้ว ก็ทรงกำหนดว่า "พวกมิจฉาทิฏฐิประชุมกัน
เพื่อข่มขี่ (เรา) ด้วยมุสาวาท จักไม่ได้โอกาส พวกสัมมาทิฏฐิ
ประชุมกัน ด้วยหมายว่า พวกเราจักดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้า
และการเยื้องกรายของสันตติมหาอำมาตย์ ฟังกรรมที่สันตติมหาอำมาตย์นี้ทำแล้ว
จักทำความเอื้อเฟื้อในบุญทั้งหลาย" ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า
"ถ้ากระนั้น เธอจงบอกกรรมที่เธอทำแล้วแก่เรา,ก็เมื่อจะบอก
จงอย่ายืนบนภาคพื้นบอก จงยืนบนอากาศชั่ว ๗ ลำตาลแล้วจึงบอก."
แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ในอากาศ
สันตติมหาอำมาตย์นั้น ทูลรับว่า "ดีละ พระเจ้าข้า"
ดังนี้แล้วจึงถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ขึ้นไปสู่อากาศชั่วลำตาลหนึ่ง
ลงมาถวาย
บังคมพระศาสดาอีก ขึ้นไปนั่งโดยบัลลังก์บนอากาศ ๗ ชั่วลำตาลตามลำดับแล้ว
ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงสดับ บุรพกรรมของข้าพระองค์"
(ดังต่อไปนี้):-
บุรพกรรมของสันตติมหาอำมาตย์
ในกัลป์ที่ ๙๑ แต่กัลป์นี้ ครั้งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี
ข้าพระองค์บังเกิดในตระกูลๆ หนึ่ง ในพันธุมดีนคร คิดแล้วว่า
"อะไรหนอแล เป็นกรรมที่ไม่ทำการตัดรอนหรือบีบคั้น ซึ่งชนเหล่าอื่น"
ดังนี้แล้ว เมื่อใคร่ครวญอยู่ จึงเห็นกรรมคือการป่าวร้องในบุญทั้งหลาย
จำเดิมแต่กาลนั้น ทำกรรมนั้นอยู่ ชักชวนมหาชนเที่ยวป่าวร้องอยู่ว่า
"พวกท่าน จงทำบุญทั้งหลาย, จงสมาทานอุโบสถ ในวันอุโบสถทั้งหลาย,
จงถวายทาน, จงฟังธรรม, ชื่อว่า รัตนะอย่างอื่นเช่นกับพุทธรัตนะเป็นต้นไม่มี,
พวกท่านจงทำสักการะรัตนะทั้ง ๓ เถิด"
ผลของการชักชวนมหาชนบำเพ็ญการกุศล
พระราชาผู้ใหญ่ทรงพระนามว่าพันธุมะ เป็นพระพุทธบิดา ทรงสดับเสียงของข้าพระองค์นั้น
รับสั่งให้เรียกข้าพระองค์มาเฝ้าแล้ว ตรัสถามว่า "พ่อ
เจ้าเที่ยวทำอะไร" เมื่อข้าพระองค์ทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพข้าพระองค์เที่ยวประกาศคุณรัตนะทั้ง
๓ ชักชวนมหาชนในการบุญทั้ง-หลาย" จึงตรัสถามว่า "เจ้านั่งบนอะไรเที่ยวไป"
เมื่อข้าพระองค์ทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์เดินไป"
จึงตรัสว่า "พ่อ เจ้าไม่ควรเพื่อเที่ยวไปอย่างนั้น จงประดับพวงดอกไม้นี้แล้ว
นั่งบนหลังม้าเที่ยวไปเถิด" ดังนี้แล้ว ก็พระราชทานพวงดอกไม้
เช่นกับพวงแก้วมุกดาทั้งได้พระราชทานม้าที่ฝึกแล้วแก่ข้าพระองค์
ต่อมา พระราชารับสั่งให้ข้าพระองค์ ผู้กำลังเที่ยวประกาศอยู่อย่างนั้นนั่นแล
ด้วยเครื่องบริหารที่พระราชาพระราชทาน มาเฝ้า แล้วตรัสถามอีกว่า
"พ่อ เจ้าเที่ยวทำอะไร" เมื่อข้าพระองค์ทูลว่า
"ข้าแต่สมมติเทพข้าพระองค์ทำกรรมอย่างนั้นนั่นแล"
จึงตรัสว่า "พ่อ แม้ม้าก็ไม่สมควรแก่เจ้า เจ้าจงนั่งบนรถนี้เที่ยวไปเถิด"
แล้วได้พระราชทานรถที่เทียมด้วยม้าสินธพ ๔. แม้ในครั้งที่
๓ พระราชาทรงสดับเสียงของข้าพระองค์แล้ว รับสั่งให้หา ตรัสถามว่า
"พ่อ เจ้าเที่ยวทำอะไร" เมื่อข้าพระองค์
ทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ทำกรรมนั้นแล"
จึงตรัสว่า "แน่ะพ่อแม้รถก็ไม่สมควรแก่เจ้า" แล้วพระราชทานโภคะเป็นอันมาก
และเครื่อง
ประดับใหญ่ ทั้งได้พระราชทานช้างเชือกหนึ่งแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์นั้น
ประดับด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง นั่งบนคอช้าง ได้ทำกรรมของผู้ป่าวร้องธรรมสิ้นแปดหมื่นปี
กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากกายของข้าพระองค์นั้น กลิ่นอุบลฟุ้งออกจากปาก
ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ นี้เป็นกรรมที่ข้าพระองค์ทำแล้ว"
การนิพพานของสันตติมหาอำมาตย์
สันตติมหาอำมาตย์นั้น ครั้นทูลบุรพกรรมของตนอย่างนั้นแล้วนั่งบนอากาศเทียว
เข้าเตโชธาตุ นิพพานแล้ว เปลวไฟเกิดขึ้นในสรีระไหม้เนื้อและโลหิตแล้ว
ธาตุทั้งหลายดุจดอกมะลิเหลืออยู่แล้ว.พระศาสดา ทรงคลี่ผ้าขาว
ธาตุทั้งหลายก็ตกลงบนผ้าขาวนั้น.พระศาสดา ทรงบรรจุธาตุเหล่านั้นแล้ว
รับสั่งให้สร้างสถูปไว้ที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง ด้วยทรงประสงค์ว่า
"มหาชนไหว้แล้ว จักเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญ"