พระอุปปะคุต
"พระอุปปะคุต
สัณฐานหัวคอดท้ายคอด พรรณดังสีดอกพิกุลแห้ง สีเปลือกหอม"
ประวัติ
พระอุปปะคุต
พระอุปคุตตะ
คือ พระเถระรูปหนึ่ง ซึ่งได้รับอาราธนามาเพื่อป้องกันพญามาร
ที่ต้องการทำลายงานฉลองสมโภชพระบรมสารีริกธาตุ กล่าวว่าท่านมีฤทธิ์มาก
ทรงฌานสมาบัติอยู่ที่ปราสาทในท้องมหาสมุทร ชื่อเต็มของท่านคือ
พระกีสนาคอุปคุตเถระ
ราวปี
พ.ศ. ๒๑๘ ในกาลแห่งสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราช
ทรงได้ทำการสร้างพระเจดีย์ขึ้น ๘๔,๐๐๐ แห่ง ทั่วชมพูทวีปภายหลังจากการค้นพบที่ซ่อนพระบรมสารีริกธาตุ
ซึ่งความตอนนี้อ่านได้ใน ตำนานธาตุนิธาน
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงอัญเชิญพระบรมธาตุสู่เมืองปาตลีบุตรี
เมื่อทำการสักการะแล้ว ได้แจกพระบรมธาตุไปทั่วทุกๆ นคร ๘๔,๐๐๐
แห่ง ซึ่งพระองค์มีพระราชประสงค์จะฉลองพระสถูปทั้ง ๘๔,๐๐๐
แห่ง และจะกระทำสักการบูชาพระบรมธาตให้ไดุ้ ๗ ปี ๗ เดือน ๗
วัน แต่พระองค์ทรงเกรงว่า จะมีมารเข้ามาทำลายพิธีในครั้งนี้
จึงได้อาราธนาพระอริยสงฆ์เพื่อมาป้องกัน แต่ก็ไม่มีพระสงฆ์องค์ใดที่จะรับอาสาได้เลย
ครั้นแล้วได้หลวงเณรองค์หนึ่งมีฌานสมาบัติชั้นสูง แม้กระนั้นท่านก็ยังไม่สามารถที่จะรับอาสาในการปราบมารได้
แต่ท่านได้กล่าวแนะนำว่า ควรไปอาราธนาพระอุปคุตเถระซึ่งมีสมาบัติสูงยิ่ง
และสามารถจักทรมานมารใจบาปให้พ่ายแพ้มหิทธานุภาพได้ โดยกล่าวว่า
"กาลเมื่อสมเด็จพระบรมครูยังทรงพระชนมายุอยู่ก็ได้ตรัสพยากรณ์ไว้ว่า
สืบไปในภายหน้าจะมีภิกษุรูปหนึ่งมีนามอุปคุตเถระ จักได้ทรมานพระยามารให้เสียพยศอันร้ายพ่ายแพ้อานุภาพ
แล้วจะกล่าวปฏิญาณปรารถนาซึ่งพุทธภูมิ พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายไม่ทราบพุทธพยากรณ์บ้างฤาไฉนหรือหลงลืมไปจงระลึกดูเถิด"
พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายได้สดับก็ชื่นชมยินดี จึงบังคับใช้พระภิกษุสองรูป
ไปอาราธนาพระอุปคุตขึ้นมาจากท้องมหาสมุทร เมื่อพระอุปคุตมาถึง
พระสงฆ์ทั้งปวง มอบทัณฑกรรมให้แก่พระกีสนาคอุปคุต เนื่องจากท่านไม่ให้้สามัคคีอุโบสถกับสงฆ์เลย
หลีกหนีไปอยู่แต่ผู้เดียว เมื่อพระอุปคุตทราบแล้วจึงน้อมรับทัณฑกรรม
ซึ่งคือหน้าที่ป้องกันอันตรายต่างๆที่อาจเกิดขึ้นในงานสมโภชพระสถูป
ทั้ง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน
ลำดับนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชมีพระหฤทัยปรารถนาจะกระทำสักการบูชาแก่พระมหาสถูป
สถิตแทบฝั่งแม่น้ำคงคา เสด็จมาสู่ลานพระมหาเจดีย์ พร้อมด้วยอเนกนานาสรรพดุริยางคดนตรีแตรสังข์ดังสนั่น
ตามริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้โชตนาการสว่างไปด้วยประทีปอเนกอนันต์จะนับบมิได้
แลพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเป็นอันมากก็มาสโมสรสันนิบาตพร้อมกันในที่นั้น
เพื่อจะถวายวันทนาพระมหาเจดียฐาน
ในขณะนั้นพระยาวัสดีมารผู้ใจบาป
ทราบเหตุแห่งบรมกษัตริย์กระทำสักการบูชา จึงลงมาจากชั้นปรนิมมิตวัสวดีเทวโลกบันดาลด้วยฤทธิ์ด้วยอำนาจ
ให้บังเกิดมหันตพยุใหญ่พัดมาแต่ที่อันไกลปรารถนาจะให้ดับเสียซึ่งประทีปทั้งหลาย
จะกระทำอันตรายแก่การสักการบูชาพระมหาสถูป
ในสมัยนั้นจึงพระอุปคุตเถรเจ้า จึงกระทำอิทธิฤทธิ์ด้วยอำนาจอธิษฐาน
บันดาลให้มหาวาตแห่งพระยามารให้อันตรธานไปจากที่นั้น
ฝ่ายพระยามารก็บันดาลให้บังเกิดห่าฝนทราบกรดอันรุ่งโรจดุจเพลิงตกลงมาอีกเล่า
พระมหาเถระก็กระทำอธิษฐานฤทธิ์หอบเอาเมล็ดทรายกรดนั้นทิ้งออกไปเสียนอกขอบเขาจักรวาล
ลำดับนั้น
พระยามารก็บันดาลฤทธิ์เป็นห่าฝนลมกรดแลห่าฝนน้ำกรด แลห่าฝนอาวุธต่าง
ๆ แลห่าฝนเท่าริ่งห่าฝนเปือกตมตกลงมาโดยลำดับ พระมหาเถระก็กระทำอธิษฐานฤทธิ์หอบเอาห่าฝนทั้ง
๕ ประการนั้น ทิ้งออกไปเสียนอกขอบจักรวาลอันตรธานไปทั้งสิ้น
พระยามารก็มีจิตพิโรธยิ่งนัก จึงนฤมิตกายเป็นรูปโคใหญ่แล่นจะไปชนประทีปให้ดับทั้งสิ้น
พระมหาเถระก็นฤมิตพระกายเป็นรูปพยัคฆ์ใหญ่ แล่นไปจะจับซึ่งโค
ๆ นั้นตกใจกลัวก็ร้องด้วยศัพท์สำเนียงอันพิลึก แลสมเด็จบรมกษัตริย์กับทั้งมหาชนสมาคมแลพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายก็เห็นทั่วกันสิ้นทั้งนั้น
เมื่อสัตว์ทั้งสองยุทธนาการแก่กัน แลโคนั้นก็ล้มลงถึงซึ่งปราชัย
ก็กลับกลายเป็นรูปนาคราชมีศรีษะได้ ๗ ศรีษะ เข้าคาบคั้นเอากายพยัคฆ์อันใหญ่
ๆ ก็กลายกลับเป็นรูปพระยาสุบรรณ(ครุฑ)คาบคั้นเอาศรีษะแห่งนาคลากไปมาถึงปราชัยพ่ายแพ้
แลพระยามารก็มละเสียซึ่งรูปนาคแปรภาคเป็นรูปยักษ์พิลึกพึงกลัวยิ่งนัก
ถือซึ่งกระบองทองแดงใหญ่เท่าลำตาลกวัดแกว่งเข้าประหารซึ่งครุฑ
พระมหาเถระก็มละเสียซึ่งรูปครุฑแปรพระกายเป็นรูปยักษ์ใหญ่ขึ้นไปกว่าก่อนนั้นสองเท่า
ถือซึ่งกระบองทั้งสองอันรุ่งโรจน์ด้วยเปลวเพลิงกวัดแกว่งทั้งสองหัตถ์
เข้าประหารซึ่งเศียรแห่งมารยักษ์ แลพระยามารก็สะดุ้งตกใจกลัวจึงดำริว่า
อาตมะนฤมิตเป็นรูปใด ๆ สมณะองค์นี้ก็นฤมิตเป็นรูปนั้น ๆ ใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีกสองเท่า
อาตมะจะกระทำประการใดดีเห็นจะพ่ายแพ้แก่พระสมณะองค์นี้เป็นมั่นคง
จึงแสดงองค์ให้ปรากฏเป็นรูปพระยามาร ยืนประดิษฐานอยู่ตรงหน้าพระมหาเถระ
พระมหาเถระเห็นซึ่งพระยามารจึงจินตนาการว่า
ผิฉะนั้นอาตมะจะกระทำให้ยักษ์ผู้นี้สิ้นฤทธิ์สิ้นความคิดแลอุบายที่จะปลดเปลื้องได้
ผู้เป็นเจ้าก็แปรกายจากรูปยักษ์กลับเป็นรูปพระมหาเถระ จึงนฤมิตซึ่งรูปอสุภสุนัขอันพึงเกลียดกอปรด้วยกลิ่นเหม็นฟุ้งขจรเต็มไปด้วยหมู่หนรอนทั่วทั้งนั้น
เอาอสุภสุนัขเข้าผูกพันคอพระยามาร แล้วกล่าวประกาศว่า
บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งถึงแม้นมาตรว่า เทพดาแลมหาพรหมเป็นอาทิก็ดี
บมิอาจปลดเปลื้องแก้ออกได้
ดูกรมารผู้ใจบาป ท่านจงไปเถิดจากที่นี้ แลพระยาวัสวดีมารมีทรากอสุภสุนัขพันธนาการกับศอ
จะปลดเปลื้องออกด้วยตนเองก็บมิได้ จักแก้ไขก็สิ้นความคิด มีจิตละอายอัปยศแก่เทพดามนุษย์ทั้งปวง
จึงเหาะไปสู่สำนักท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ แล้วกล่าววิงวอนว่า
ข้าแต่ท่านผู้นฤทุกข์ จงช่วยปลดเปลื้องซึ่งอสุภสุนัขออกจากศอแห่งข้ากาลบัดนี้
ท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ จึงถามว่า
เหตุใด อสุภสุนัขจึ่งมาผูกพันซึ่งศอแห่งท่าน ข้าแต่ท้าวจตุโลกบาลมหาราช
ภิกษุมีนามว่า อุปคุต เธอกระทำพันธนาการแก่ข้า
เทวทั้ง ๔ กล่าวว่า ข้าแต่พระยามาราธิราช พระภิกษุองค์นั้นท่านทรงมเหศักดานุภาพ
ท่านกระทำพันธนาไว้ ข้าพเจ้าบมิอาจปลดเปลื้องออกได้
พระยามารก็เหาะไปสู่สำนักท้าวสหัสนัยน์แลสุยามเทวราช สันดุสิตเทวราช
แลท้าวสหบดีมหาพรหม กล่าววิงวอนให้ช่วยแก้พันธนาการเหมือนดังนั้น
ท้าวเทวราชทั้งหลายแลท้าวมหาพรหมก็กล่าวว่ามิอาจแก้ได้
พระภิกษุองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ทรงซึ่งฉฬาภิญญาสัมมาสัมพุทธสาวก
กอปรด้วยมเหศักดานุภาพมาก เราทั้งหลายบมิอาจแก้ซึ่งพันธนาการแห่งท่านได้
ตัวท่านจงกลับไปสู่สำนักแห่งพระภิกษุองค์นั้น แล้วจงวิงวอนด้วยสุนทรมธุรกถา
ท่านก็จะปลดเปลื้องซึ่งอสุจิพันธนาการนั้นออกด้วยพระหัตถ์แห่งท่านเอง
อันผู้อื่นนั้นกลัวเกรงอานุภาพแห่งท่าน ใครเลยจะแก้พันธนาการออกได้
เมื่อพระยามารได้สดับก็มีหฤทัยรันทดท้อฤทธิ์ สิ้นคิด สิ้นที่พึ่งซึ่งจะไปหาผู้ใดให้ช่วยแก้ไขอีกนั้นก็บมิได้มี
จึงกลับมาสู่สำนักพระมหาเถระกับทั้งกุกกุรอสุภซึ่งพันธนา นบบาทาพระผู้เป็นเจ้าจงการุญภาพช่วยเปลื้องปลดซึ่งอสุจิพันธนานี้
ผู้เป็นเจ้ามีชัยชำนะแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าปราชัยไม่สู้รบสืบไปอีกแล้ว
พระมหาเถระจึงกล่าวว่า
ดูกรมารผู้ใจบาป จงไปสู่บรรพตอันนั้น พระยามารก็ไปโดยพลัน
สู่บรรพตตามเถรวาทบังคับ
ลำดับนั้น พระมหาเถระก็ไปแก้ออกซึ่งกุกกุรอสุภซึ่งพันที่ศอแห่งมาร
แล้วเปลื้องเอากายพันธ์(ประคดเอว)ของผู้เป็นเจ้าพันศอพระยามารเข้าอีก
แล้วนฤมิตกายพันธ์(ประคดเอว นั้นให้ยาวรวบรัดเข้ากับภูเขาอันนั้นให้มั่นคง
จึงกล่าวแก่มารว่า
จงอยู่ในที่นี้กว่าสมเด็จบรมนราธิบดีธรรมาโศกราช จะกระทำมหามหกรรมสักการบูชาพระมหาสถูปถ้วน
๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน สำเร็จตราบใด ท่านจงอยู่ไปในที่นี้สิ้นตราบนั้น
แลพระยามารก็ต้องพันธนาการประจานอยู่กับบรรพต พระมหาเถระก็ไปสำราญอิริยาบถอยู่โดยควรแก่ผาสุกวิหารเมื่อการสักการบูชาพระมหาสถูปถ้วน
๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน วันสำเร็จแล้ว พระมหาเถระจึงไปสู่ที่ใกล้แห่งพระยามาร
แต่บังกายอยู่เพื่อจะสดับ ซึ่งเสียงแห่งพระยามารจะว่า ขานประการใดบ้าง
ฝ่ายพระยามาราธิราชก็เสียพยศอันร้าย จึงอนุสรคำนึงถึงพระคุณสมเด็จพระสัพพัญญู
แล้วออกวาจาว่า
กาลเมื่อพระพุทธองค์ทรงสถิตเหนือพระรัตนบัลลังก์ ภายใต้ทุมินทรพฤกษมหาโพธิ
ข้าพระบาทบมิอาจอดกลั้นเสียซึ่งความโกรธได้ แลขว้างไปซึ่งจักราวุธอันคมกล้า
อันสามารถตัดเสียซึ่งวชิรบรรพตให้ขาด ครุวนาดุจตัดซึ่งหน่อไม้ไผ่
พระพุทธองค์ทรงพิจารณาซึ่งพระสมติงสบารมีญาณ แลจักรนั้นก็กลายกลับเป็นกุสุมเพดานกางกั้น
ในอุปริมทิศาภาคพวกพลบริษัททั้งหลายอันเศษก็ขว้างไปซึ่งนานาวิธาวุธมียอดภูเขา
เป็นอาทิก็กลับกลายเป็นพวกบุปผชาติตกลงยังพื้นพสุธา แลข้าผู้ชื่อว่า
มาราธิราชก็ปราชัยพ่ายแพ้ แลระลึกถึงพระพุทธคุณแล้วกล่าวพระคาถาว่า
นโม ปุริสาชญฺญ เป็นอาทิดังนี้ สมเด็จพระชินสีห์พระองค์ใดทรงพระมหากรุณากระทำซึ่งสิ่งอันเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวง
แลเป็นที่พึ่งที่พำนักแก่สรรพสัตว์อันหาที่พึ่งบมิได้ สิ้นกาลทุกเมื่อ
เป็นนิจนิรันดร์แล สมเด็จพระชินสีห์พระองค์นั้น อันประเสริฐด้วยคุณหาผู้จะเสมอบมิได้
จงมาเป็นที่พึ่งที่พำนักแห่งอาตมาในกาลบัดนี้
ประการหนึ่ง แต่ปางก่อนข้าผู้ชื่อว่าวัสวดีกระทำภยันตรายแก่พระพิชิตมาร
มีประการต่าง ๆ เป็นอันมาก พระผู้มีพระภาคก็มิได้กระทำโทษตอบแก่ข้ามาตรว่า
สิ่งใดหน่อยหนึ่งบมิพึงมี กาลบัดนี้พระสาวกแห่งพระพุทธองค์กะไรช่างไม่มีความกรุณา
กระทำโทษแก่อาตมาให้เสวยทุกข์สาหัสเห็นปานดังนี้
แลพระยาวสัวดีมารยิ่งทุกข์โทมนัส ก็ถีบซึ่งบรรพตนั้นด้วยบาททั้งสองให้จลาการหวั่นไหวต่าง
ๆ โดยเบื้องบนเบื้องต่ำดังจะทำลายลงด้วยพลัน สะท้านสะเทือนพสุธาสนั่นกัมปนาท
ทั้งขุนเขาพระสิเนรุราชก็น้อมยอดหวั่นไหว พระมหาสาครสมุทไทก็กำเริบขึ้นเป็นระรอก
แลพระยามารกลับซ้ำดำริถึงพระขันติคุณแห่งพระมหากรุณา จึงออกอุทานกถาว่า
ผิว่าอาตมามีกุศลสมภารได้ส่ำสมไว้ เบื้องว่าพระสัพพัญญูได้ตรัสในอนาคตกาลฉันใด
ขอจงอาตมะได้เป็นพระสัพพัญญูบังเกิดในโลกเหมือนดังนั้น จะได้กรุณาเป็นที่พึ่งสรรพสัตว์แสวงหาซึ่งประโยชน์
โปรดวไนยประชาทั้งปวงทั้งสกลโลกธาตุ
ขณะเมื่อพระยามาราธิราชออกวาจาปรารถนาพุทธภูมิด้วยประการดังนี้
พระมหาเถระก็สำแดงกายินทรีย์ให้ปรากฏ แล้วมาโดยด่วนเข้าแก้พันธนาพระยามารด้วยฉับพลัน
แล้วขอให้พญามารนั้นขมาโทษโดยออกพระโอษฐ์ว่า
ดูกรเทพบุตร ท่านจงอดโทษแก่อาตมา อันว่าประโยชน์แห่งท่านคือ
ความปรารถนาพุทธภูมิอาตมะก็ให้บังเกิดได้แล้ว แลอาตมะห้ามเสียบมิให้ท่านกระทำอันตราย
ในการบุญแห่งบรมกษัตริย์ บัดนี้ท่านก็ถือเอาปฏิญาณซึ่งภาวะจะตรัสเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล
ตั้งแต่นี้ตัวท่านก็เป็นปูชนิยบุคคล คือ พระโพธิสัตว์ ควรที่โลกทั้งหลาย
จะกระทำนมัสการบูชา ฝ่ายพระยามาราธิราชจึงกล่าวตอบว่า
พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระพุทธสาวกช่างกระไรไม่มีพระทัยกรุณาแก่ข้าพเจ้าผู้เป็นมารเห็นปานดังนี้บ้างเลย
ดูกรพระยามารเรากับท่านนี้เป็นคู่ทรมานกัน เพราะเหตุนั้นจึงไม่กรุณา
กระทำโทษแก่ท่านทั้งนี้เพื่อจะยังท่านให้มีจิตยินดีปรารถนาพุทธภูมิบารมีญาณ
ตัวท่านก็เที่ยงที่จะได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญู สมเด็จพระบรมครูก็ได้ตรัสทำนายไว้ว่า
อาตมะนี้จะได้ทรมานซึ่งพระยามาร ให้เสียพยศในอนาคตกาลแลพระยามารนั้นจะถือเอาปฏิญาณซึ่งภาวะจะเป็นพระพุทธเจ้าในภายภาคหน้า
ท่านจงมีศรัทธาละเสียซึ่งจิตบาป อย่าได้กระทำกรรมอันหยาบสืบไป
อนึ่งท่านจงได้อนุเคราะห์แก่อาตมา ด้วยสมเด็จพระศาสดาบังเกิดในโลก
เสด็จเข้าสู่พระปรินิพพานเสียแล้ว เราได้เห็นแต่พระธรรมกายบมิได้ทันเห็น
ซึ่งพระสริรกายท่านจงสงเคราะห์นฤมิตพระรูปกายแห่งพระศาสดาจารย์
พร้อมด้วยอาการทั้งปวงสำแดงแก่เราให้เห็นประจักษ์กับทั้งพระอัครสาวกทั้งคู่ให้ปรากฏด้วยฤทธิ์แห่งท่านกาลบัดนี้
ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า เบื้องว่าข้าพเจ้าจะนฤมิตกายเป็นองค์พระชินสีห์ให้เห็นประจักษ์แล้ว
พระผู้เป็นเจ้าจงอย่าได้ถวายนมัสการข้าพเจ้า พระมหาเถระก็รับคำพระยามาร
ๆ จึงเข้าไปในไพรสณฑ์ตำบลหนึ่ง พระมหาเถระจึงให้สันนิบาตพระภิกษุทั้งหลายเป็นอันมาก
มาถึงพร้อมกันโดยเร็ว ด้วยอำนาจฤทธิ์แห่งผู้เป็นเจ้า แลพระสงฆ์องค์ใดจะใคร่เห็นพระผู้ทรงพระภาคองค์นั้น
ก็ถือธูปเทียนสุคันธวิเลปนบุปผามาสถิตแวดล้อมพระอุปคุตเถรเจ้าแล้วก็กล่าวว่า
เราจะดูซึ่งพระพุทธสริรรูปจะกระทำสักการบูชา ในกาลนั้นพระยามารก็นฤมิตกายเป็นองค์พระสัพพัญญูเจ้า
ประดับด้วยพระทวติงสมหาปุริสลักษณะแล พระอสีตยานุพยัญชนพิจิตรโสภิตโอภาส
ด้วยพยามประภาฉัพพิธพรรณรังสี มีทั้งคู่พระอัครสาวกสถิตในทิศเบื้องซ้ายขวา
แวดล้อมด้วยพระอสีติมหาสาวกเป็นบริวาร สำแดงให้ปรากฏแก่มหาชนสันนิบาตทั้งปวง
แลคำเกจิอาจารย์บางองค์ก็กล่าวว่า
พระเจ้าธรรมาโศกราชกับหมู่อมาตย์แลราชบรรพษัท ก็มาทัศนาการอยู่
ณ ที่นั้นคอยแลดู พระอุปคุตเถระเมื่อได้ทัศนาพระพุทธสริรรูปกายกับทั้งพระมหาสาวกบริวารทั้งหลายปรากฏ
ดังนั้น ก็บังเกิดโลมชาติชูชันด้วยอจลประสาทศรัทธาลืมไปว่าเป็นพระยามาร
ก็ถวายนมัสการ พระพุทธสริรรูปด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แลมหาชนนิกรทั้งหลาย
มีสมเด็จบรมกษัตริย์เป็นประธาน ก็กระทำนมัสการสักการบูชาทั้งสิ้นด้วยกัน
ขณะนั้นพระยามารก็ยังพระพุทธสริระรูปกาย แลสาวกทั้งหลายให้อันตรธาน
กลับกลายเป็นรูปพระยามารมาสถิตอยู่ในที่ประชุมชน จึงกล่าวแก่พระมหาเถระว่า
ไฉนพระผู้เป็นเจ้าจึงถวายวันทนาข้าพเจ้าก็ได้บอกไว้แล้ว
ดูกรพระยามาร อาตมะมิได้นมัสการซึ่งท่าน แต่กระทำอภิวันทนาการสรีระพระบรมครู
กับทั้งหมู่พระมหาสาวกทั้งปวง
จำเดิมแต่นั้นมา พระยามารก็มีจิตอ่อนน้อมในพระพุทธศาสนา บมิได้หยาบช้าเหมือนดุจแต่ก่อน
พระมหาเถระจึ่งกล่าวแก่พระยามารว่า ท่านจงไปโดยควรแก่สุขเถิด
พระยามารก็ถวายนมัสการลาสู่สถานเทวพิภพแห่งตน