เนื้อหาภายใน
หน้าแรก
คำนำ
พระบรมสารีริกธาตุ
  ความหมาย
  ประเภท
  คุณลักษณะ
  ลักษณะต่างๆ
  พระธาตุลอยน้ำ
ตำนานการเกิด
  ตำนานการเกิด
  สถานที่ประดิษฐาน
  พระอดีตพุทธเจ้า
  ธาตุปรินิพพาน
พุทธเจดีย์
  พุทธเจดีย์
  บุคคลที่ควรสร้างสถูป
  เจดีย์ประจำนักษัตร
พระธาตุพุทธสาวก
  พระธาตุพุทธสาวก
  สาวกธาตุพุทธกาล
  สาวกธาตุปัจจุบัน
บูชาพระธาตุ
  บูชาพระธาตุ
  อัญเชิญพระธาตุ
  บทบูชาพระธาตุ
  สรงน้ำพระธาตุ
  ในพุทธดำรัส และพระสาวก
  ในเทวดาและเปรต
พระธาตุปาฏิหาริย์
  พระธาตุปาฏิหาริย์
  ลักษณะการเกิด
  ประสบการณ์พระธาตุ
ภาพถ่ายพระธาตุ
  พระบรมธาตุ 1
พระบรมธาตุ 2
พระบรมธาตุ 3
  สาวกธาตุพุทธกาล
  สาวกธาตุปัจจุบัน
  วิธีถ่ายภาพพระธาตุ
บทความเกี่ยวกับพระธาตุ
พิพิธภัณฑ์พระธาตุ
กระดานข่าวสนทนา
บรรณานุกรม
บอกกล่าว
ภาพถ่ายพระธาตุ <<< กลับไปหน้าภาพถ่ายพระธาตุพระอรหันตสมัยพุทธกาล

พระอรหันตธาตุสมัยพุทธกาล**

พระปุณณะเถระ

 

"พระปุณณะเถระ
สัณฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส พรรณสีขาว สีดอกพิกุลแห้ง"

ประวัติ พระปุณณะเถระ

ทั้งนี้ในพระบาลีมีกล่าวถึงพระปุณณะเถระอยู่ด้วยกัน 2 องค์ ได้แก่ พระปุณณมันตานีบุตร ผู้เป็นบุตรของนางมันตานีพราหมณี และ พระปุณณสุนาปรันตะ หนังสือบางเล่มกล่าวว่า พระปุณณะ ที่กล่าวในตำราพระธาตุเป็น พระปุณณสุนาปรันตะ ซึ่งหากถือตามตำนาน พระปุณณะองค์นี้ก็เป็นคนไทย (ชาวสระบุรี) คนแรกที่ได้บวชในพระพุทธศาสนา แต่ในที่นี่ ขอกล่าวถึง " พระปุณณมันตานีบุตร เอตทัคคมหาสาวกผู้เป็นธรรมกถึก"

ปุณณมันตานีบุตร คือพระเถระชื่อว่า ปุณณะ ท่านเป็นบุตรของนางมันตานีพราหมณี จึงชื่อว่า ปุณณมันตานีบุตร เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในหมู่บ้านพราหมณ์ ชื่อโทณวัตถุไม่ไกลกรุงกบิลพัสดุ์ ในวันขนานนามของท่าน พวกญาติขนานนามท่านว่า ปุณณมาณพ ท่านเป็นหลานของพระอัญญาโกณฑัญญะครั้งเมื่อ พระศาสดาทรงบรรลุอภิสัมโพธิญาณ ทรงประกาศธรรมจักรอันประเสริฐ เสด็จดำเนินมาโดยลำดับ เข้าอาศัยอยู่ ยังกรุงราชคฤห์ ในพรรษาที่ ๒ พระอัญญาโกณฑัญญเถระ ได้มายังกรุงกบิลพัสดุ์ เพื่อให้ปุณณมาณพหลานชายของตนบวช วันรุ่งขึ้น จึงมาเฝ้าพระทศพล ถวายบังคมแล้วก็ทูลลาไปยังฉัททันตสระ เพื่อพักผ่อนกลางวัน และไม่ต้องการคลุกคลีกับหมู่ ฝ่ายพระปุณณมันตานีบุตรมาเฝ้าพระทศพล พร้อมกับพระอัญญาโกณฑัญญเถระผู้ลุง คิดว่า เราจักทำกิจแห่งบรรพชิตของเราให้ถึงที่สุดแล้ว จึงจักไปเฝ้าพระทศพล ดังนี้ จึงตั้งใจทำกิจในกรุงกบิลพัสดุ์นั่นเอง กระทำโยนิโสมนสิการกรรมฐาน ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัตผล

งานของท่านพระปุณณมันตานีบุตรมีกุลบุตรออกบวชในสำนักของท่านถึง ๕๐๐ รูป จึงสอนแม้แก่บรรพชิตเหล่านั้นด้วยกถาวัตถุ ๑๐ บรรพชิตเหล่านั้นดำรงอยู่ในโอวาทของท่านก็ได้บรรลุพระอรหัตทุกรูปเทียว ภิกษุเหล่านั้นรู้ว่า กิจแห่งบรรพชิตของตนถึงที่สุดแล้ว จึงเข้าไปหาพระอุปัชฌาย์กล่าวว่า ท่านผู้เจริญกิจของพวกกระผมและผู้ได้มหากถาวัตถุ ๑๐ ถึงที่สุดแล้ว เป็นสมัยที่พวกกระผมจะเฝ้าพระทศพล พระเถระฟังถ้อยคำของภิกษุเหล่านั้นแล้วจึงคิดว่า พระศาสดาทรงทราบว่า เราได้กถาวัตถุ ๑๐ เมื่อเราแสดงธรรมก็แสดงไม่พ้นกถาวัตถุ ๑๐ เมื่อเราไปภิกษุทั้งหมดนี้ก็จะแวดล้อมไป ก็การไปด้วยคลุกคลีด้วยหมู่คณะอย่างนี้เข้าเฝ้าพระทศพลของเราก็ไม่ควร ภิกษุเหล่านี้จงไปเฝ้าก่อน ดังนี้ จึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า อาวุโส ท่านทั้งหลายจงเดินล่วงหน้าไปเฝ้าพระตถาคต และจงกราบพระบาทของพระองค์ตามคำของเรา แม้เราก็จักไปตามทางที่ท่านไปแล้ว ดังนี้ ภิกษุเหล่านั้นทุกรูปล้วนอยู่ในรัฐที่เป็นชาติภูมิเดียวกับพระทศพล ทั้งหมดเป็นพระขีณาสพ ได้กถาวัตถุ ๑๐ หมดทุกรูป ยินดียิ่งซึ่งโอวาทของอุปัชฌาย์ของตน ไหว้พระเถระแล้วเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ ล่วงหน้าทางถึง ๖๐ โยชน์จนถึงพระเชตวันมหาวิหารในกรุงราชคฤห์ ถวายบังคมพระบาทของพระบาทของพระทศพลแล้วพากันนั่งอยู่ ณ ที่สมควรส่วนหนึ่งก็นี่เป็นอาจิณณวัตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย ที่จะทรงชื่นชอบตอบกันอาคันตุกะภิกษุทั้งหลาย
ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำปฏิสันถารด้วย มธุรวาจากับภิกษุเหล่านั้นโดยนัยมีอาทิว่า

พอทนได้หรือภิกษุทั้งหลาย แล้วตรัสถามว่า
พวกเธอมาแต่ไหน เมื่อภิกษุเหล่านั้นทูลตอบว่า
มาจากชาติภูมิแล้ว
จึงตรัสถามภิกษุผู้ได้กถาวัตถุ ๑๐ ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุผู้เป็นเพื่อนพรหมจรรย์
ชาวชาติภูมิกันได้สรรเสริญใครหนอแลอย่างนี้ว่า ตนเอง
ก็ปรารถนาน้อยด้วย สอนภิกษุทั้งหลายเรื่องปรารถนาน้อยด้วย
ดังนี้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
พระเจ้าข้า ท่านชื่อว่า ท่านปุณณมันตานีบุตร พระเจ้าข้า

ท่านพระสารีบุตรได้ฟังถ้อยคำนั้น จึงเป็นผู้ใคร่เพื่อจะพบพระเถระ ครั้งนั้น พระศาสดาได้เสด็จออกจากกรุงราชคฤห์ไปสู่กรุงสาวัตถีพระปุณณเถระได้ยินว่า พระทศพลเสด็จมากรุงสาวัตถี จึงคิดว่าเราจักเฝ้าพระศาสดา จึงออกเดินไปจนทันเฝ้าพระตถาคตที่ภายในพระคันธกุฎีทีเดียว พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ท่านชื่ออนันตนัย อันอาศัยกถาวัตถุ ๑๐ พระเถระสดับธรรมแล้ว ถวายบังคมพระทศพลแล้วไปยังป่าอันธวันเพื่อหลีกเร้นจึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง แม้พระสารีบุตรเถระทราบว่าท่านมา มองหาทิศทางแล้วเดินไปกำหนดโอกาสเข้าไปยังโคนไม้นั้นแล้วสนทนากับพระเถระ ถามถึงลำดับแห่งวิสุทธิ ๗ ในรถวินีตสูตร ดังมีความย่อว่า

สา. ท่านผู้มีอายุ ผมถามท่านว่า
สีลวิสุทธิหรือ เป็นอนุปาทาปรินิพพาน
จิตตวิสุทธิ หรือ เป็นอนุปาทาปรินิพพาน
ทิฏฐิวิสุทธิหรือเป็นอนุปาทาปรินิพพาน
กังขาวิตรณวิสุทธิหรือ เป็นอนุปาทาปรินิพพาน
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิหรือ เป็นอนุปาทาปรินิพพาน
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิหรือ เป็นอนุปาทาปรินิพพาน
ญาณทัสสนวิสุทธิหรือ เป็นอนุปาทาปรินิพพาน
ที่นอกไปจากธรรมเหล่านี้หรือ เป็นอนุปาทาปรินิพพาน
ท่านก็ตอบผมว่า ไม่ใช่อย่างนั้นๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ จะพึงเห็น
เนื้อความของถ้อยคำที่ท่านกล่าวนี้อย่างไรเล่า?

ปุณณ. ท่านผู้มีอายุ ถ้าพระผู้มีพระภาคจักทรงบัญญัติสีลวิสุทธิ
ว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพานแล้ว ก็ชื่อว่าทรงบัญญัติธรรมที่ยังมี
อุปาทาน ว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพาน.
ถ้าจักทรงบัญญัติ จิตตวิสุทธิ ทิฏฐิวิสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ ปฏิปทาญาณ ทัสสนวิสุทธิญาณ
ทัสสนวิสุทธิว่า เป็นอนุปาทาปรินิพพานแล้ว ก็ชื่อว่าทรงบัญญัติ
ธรรมที่ยังมีอุปาทาน ว่าเป็นอนุปาทาปรินิพพาน
ถ้าหากว่า ธรรมนอกจากธรรมเหล่านี้ จักเป็นอนุปาทาปรินิพพาน
แล้ว ปุถุชนจะชื่อว่าปรินิพพาน เพราะว่า ปุถุชนไม่มีธรรมเหล่านี้
ท่านผู้มีอายุ ผมจะอุปมาให้ท่านฟัง บุรุษผู้เป็นวิญญูชน
บางพวกในโลกนี้ ย่อมรู้เนื้อความแห่งคำที่กล่าวแล้วด้วยอุปมา.
อุปมาด้วยรถ ๗ ผลัด
ท่านผู้มีอายุ เปรียบเหมือน พระเจ้าปเสนทิโกศล กำลังประทับ
อยู่ในพระนคร สาวัตถี มีพระราชกรณียะด่วนบางอย่างเกิดขึ้น
ในเมืองสาเกต และในระหว่างพระนครสาวัตถีกับเมืองสาเกตนั้น จะ
ต้องใช้รถถึง ๗ ผลัด ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศล เสด็จออกจาก
พระนครสาวัตถี ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่หนึ่งที่ประตูพระราชวัง
ไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่สองด้วย รถพระที่นั่งผลัดที่หนึ่ง จึงปล่อย
รถพระที่นั่งผลัดที่หนึ่ง ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่สอง เสด็จไปถึงรถ
พระที่นั่งผลัดที่สาม ด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่สอง ทรงปล่อยรถ
พระที่นั่งผลัดที่สอง ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่สาม เสด็จถึงรถ
พระที่นั่งผลัดที่สี่ ด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่สาม ปล่อยรถพระที่นั่ง
ผลัดที่สาม ทรงรถพระที่นั่งผลัดที่สี่ เสด็จถึงรถพระที่นั่งผลัดที่ห้า
ด้วยรถพระที่นั่ง ผลัดที่สี่ ปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่สี่ ทรงรถ
พระที่นั่งผลัดที่ห้า เสด็จไปถึงรถพระที่นั่ง ผลัดที่หก ด้วยรถ
พระที่นั่งผลัดที่ห้า ปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่ห้า ทรงรถพระที่นั่ง
ผลัดที่หกเสด็จไปถึงรถพระที่นั่งผลัดที่เจ็ด ด้วยรถพระที่นั่งผลัด
ที่หก ปล่อยรถพระที่นั่งผลัดที่หกทรงรถพระที่นั่งผลัดที่เจ็ด เสด็จ
ไปถึงเมืองสาเกตที่ประตูพระราชวัง ด้วยรถพระที่นั่งผลัดที่เจ็ด
ถ้าพวกมิตรอำมาตย์ หรือพระญาติสาโลหิต จะพึงทูลถามพระองค์
ซึ่งเสด็จถึงประตูพระราชวังว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์เสด็จมาจากพระนครสาวัตถีถึง
เมืองสาเกตที่ประตูพระราชวัง ด้วยรถ พระที่นั่งผลัดนี้ผลัดเดียว
หรือ ท่านผู้มีอายุ พระเจ้าปเสนทิโกศลจะตรัสตอบอย่างไร จึงจะ
เป็น อันตรัสตอบถูกต้อง?

สา. ท่านผู้มีอายุ พระเจ้าปเสนทิโกศลจะต้องตรัสตอบอย่างนี้
จึงจะเป็นอันตรัสตอบถูกต้อง คือ เมื่อฉันกำลังอยู่ในนครสาวัตถีนั้น
มีกรณียะด่วนบางอย่างเกิดขึ้นในเมืองสาเกตก็ในระหว่างนครสาวัตถี
กับเมืองสาเกตนั้นจะต้องใช้รถถึง ๗ ผลัด เมื่อเช่นนั้น ฉันจึงออกจาก
นครสาวัตถีขึ้นรถผลัดที่หนึ่งที่ประตูวังไปถึงรถผลัดที่สอง ด้วยรถ
ผลัดที่หนึ่ง ปล่อยรถผลัดที่หนึ่งขึ้นรถผลัดที่สอง ไปถึงรถผลัดที่สาม
ด้วยรถผลัดที่สอง ปล่อยรถผลัดที่สอง ... ขึ้นรถ ผลัดที่เจ็ด ไปถึง
เมืองสาเกตที่ประตูวังด้วยรถผลัดที่เจ็ด
ท่านผู้มีอายุ พระเจ้าปเสนทิโกศล จะต้องตรัสตอบอย่างนี้
จึงจะเป็นอันตรัสตอบถูกต้อง.

ปุ. ท่านผู้มีอายุ ข้อนี้ก็ฉันนั้น
สีลวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่จิตตวิสุทธิ
จิตตวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่ทิฏฐิวิสุทธิ
ทิฏฐิวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่กังขาวิตรณวิสุทธิ
กังขาวิตรณวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ
มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ
ปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่
ญาณทัสสนวิสุทธิญาณ
ทัสสนวิสุทธิ เป็นประโยชน์แก่อนุปาทาปรินิพพาน
ท่านผู้มีอายุ ผมประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค
เพื่ออนุปาทาปรินิพพาน

กล่าวชื่นชมสุภาษิตของกันและกัน
เมื่อท่านพระปุณณมันตานีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระ
สารีบุตรจึงถามว่าท่านผู้มีอายุ ท่านชื่ออะไร และพวกภิกษุเพื่อน
พรหมจรรย์ รู้จักท่านว่าอย่างไร?
ท่านพระปุณณมันตานีบุตรตอบว่า ท่านผู้มีอายุ ผมชื่อปุณณะ
แต่พวกภิกษุเพื่อนพรหมจรรย์ รู้จักผมว่ามันตานีบุตร.
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ น่าอัศจรรย์นัก
ไม่เคยมีมาแล้ว ธรรมอันลึกซึ้ง อันท่านพระปุณณมันตานีบุตร
เลือกเฟ้นมากล่าวแก้ ด้วยปัญญาอัน ลึกซึ้ง ตามเยี่ยงพระสาวก
ผู้ได้สดับแล้ว รู้ทั่วถึงคำสอนของพระศาสดาโดยถ่องแท้
จะพึงกล่าวแก้ ฉะนั้น เป็นลาภมากของเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
ความเป็นมนุษย์อันเพื่อนพรหมจรรย์ได้ดีแล้ว ที่ได้พบเห็น
นั่งใกล้ท่านพระปุณณมันตานีบุตร แม้หากว่าเพื่อนพรหมจรรย์
ทั้งหลาย จะเทิดท่านพระปุณณมันตานีบุตรไว้บนศีรษะด้วยเทริดผ้า
จึงจะได้พบเห็น นั่งใกล้ แม้ข้อนั้นก็นับว่าเป็นลาภมากของเธอ
เหล่านั้น ความเป็นมนุษย์อันเธอเหล่านั้นได้ดีแล้ว อนึ่งนับว่า
เป็นลาภมากของผมด้วย เป็นการได้ดีของผมด้วย ที่ได้พบเห็น
นั่งใกล้ท่านพระปุณณมันตานีบุตร.
เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว
ท่านพระปุณณมันตานีบุตรจึงถามดังนี้ว่า
ท่านผู้มีอายุ ท่านชื่ออะไร และเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
รู้จักท่านว่าอย่างไร?
ท่านพระสารีบุตร ตอบว่า ท่านผู้มีอายุ ผมชื่ออุปติสสะ
แต่พวกเพื่อนพรหมจรรย์ รู้จักผมว่าสารีบุตร.
ท่านพระปุณณมันตานีบุตรกล่าวว่า
ท่านผู้เจริญ ผมกำลังพูดอยู่กับท่านผู้เป็นสาวกทรงคุณคล้าย
กับพระศาสดา มิได้ทราบเลยว่า ท่านชื่อสารีบุตร ถ้าผมทราบว่า
ท่านชื่อสารีบุตรแล้ว คำที่พูดไปเพียงเท่านี้ คงไม่แจ่มแจ้งแก่ผมได้
เป็นการน่าอัศจรรย์จริง ไม่เคยมีมาแล้ว ธรรมอันลึกซึ้ง อันท่าน
พระสารีบุตรเลือกเฟ้นมาถามแล้วด้วยปัญญาอันลึกซึ้ง ตามเยี่ยง
พระสาวกผู้ได้สดับแล้วรู้ทั่วถึงคำสอนของพระศาสดาโดยถ่องแท้
จะพึงถาม ฉะนั้น เป็นลาภมากของเพื่อนพรหมจรรย์ ความเป็น
มนุษย์นับว่าเพื่อนพรหมจรรย์ได้ดีแล้ว ที่ได้พบเห็น นั่งใกล้
ท่านพระสารีบุตร แม้หากว่า เพื่อนพรหมจรรย์จะเทิดท่าน
พระสารีบุตรไว้บนศีรษะด้วยเทริดผ้าจึงจะได้พบเห็น นั่งใกล้
แม้ข้อนั้นก็เป็นลาภมากของเธอเหล่านั้น ความเป็นมนุษย์นับว่า
อันเธอเหล่านั้นได้ดีแล้ว อนึ่ง นับว่าเป็นลาภมากของผมด้วย
เป็นการได้ดีของผมด้วย ที่ได้พบเห็นนั่งใกล้พระสารีบุตร.

พระมหานาคทั้งสองนั้น ต่างชื่นชมสุภาษิตของกันและกัน ด้วยประการฉะนี้แล.

ในคราวที่พระอานนท์พระอานนท์ท่านบวชมาใหม่ๆ ได้พบพระปุณณมันตานีบุตร ท่านได้แสดงกถาวัตถุ ๑๐ ประการให้พระอานนท์ฟัง จนพระอานนท์ได้บรรลุพระโสดาปัตติผล ต่อมาภายหลังพระศาสดาทรงประทับนั่งท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงสถาปนาพระเถระไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกแล

ช่วงปลายชีวิตของท่านยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าท่านปรินิพพานเมื่อใดและที่ไหน ทราบแต่ว่า ท่านปรินิพพานหลังพระพุทธเจ้า

บุพกรรมในอดีตชาติ

ได้ยินว่า ก่อนที่พระทศพลพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงอุบัติท่านปุณณะบังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล กรุงหงสวดี ใน วันขนานนามท่าน พวกญาติขนานนามว่า โคตมะ ท่านเจริญวัยแล้วเรียนไตรเทพ เป็นผู้ฉลาดในศิลปศาสตร์ทั้งปวง มีมาณพ ๕๐๐ เป็นบริวาร เที่ยวไป จังพิจารณาไตรเพทดูก็ไม่เห็นโมกขธรรมเครื่องพัน คิดว่า ธรรมดาไตรเพทนี้เหมือนต้นกล้วย ข้างนอกเกลี้ยงเกลา ข้างในหาสาระมิได้ การถือไตรเพทนี้เที่ยวไป ก็เหมือนบริโภคแกลบเราจะต้องการอะไรด้วยศิลปะนี้ จึงออกบวชเป็นฤาษีทำพรหมวิหารให้บังเกิด เป็นผู้มีญาณไม่เสื่อมก็จักเข้าถึงพรหมโลก ดังนี้ จึงพร้อมกับมาณพ ๕๐๐ ไปยังเชิงเขาบวชเป็นฤาษีแล้ว ท่านมีชฎิล ๑๘,๐๐๐ เป็นบริวาร ท่านทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้บังเกิดแล้ว บอก กสิณบริกรรมแก่ชฎิลเหล่านั้นด้วย ชฎิลเหล่านั้นตั้งอยู่ในโอวาทของท่าน บำเพ็ญจนได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ทุกรูป

เมื่อกาลเป็นเวลานานไกลล่วงไปในเวลาที่โคตมดาบสนั้นเป็นคนแก่ พระปทุมุตตระทศพล ก็ทรงบรรลุปรมาภิสัมโพธิญาณทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐ มีภิกษุแสดรูปเป็นบริวารทรงอาศัยกรุงหงสวดีประทับอยู่ วันหนึ่งพระทศพลนั้นทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอรหัตตูปนิสัยของบริษัทโคตม-ดาบส และความปรารถนาของโคตมดาบส (ที่ปรารถนาว่า ขอเราพึงเป็นยอด ของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก ในศาสนาของพระ-พุทธเจ้าผู้จะทรงบังเกิดในกาลภายหน้าเถิด) จึงชำระเสรีระแต่เช้าตรู่ ถือบาตรและจีวรด้วยพระองค์เอง เสด็จไปโดยเพศที่ใคร ๆ ไม่รู้จักในเมื่ออันเตวาสิกของ โคตมดาบสไปเพื่อแสดงหาผลหมาก รากไม้ในป่า ไปประทับยืนที่ประตูบรรณศาลาของโคตมดาบสฝ่ายโคตมดาบสแม้ไม่ทราบว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติแล้ว เห็นพระทศพลมาแต่ไกลเทียวก็ทราบได้ว่า บุรุษผู้นี้ปรากฏ น่าจะเป็นคนพ้นโลกแล้ว เหมือนความสำเร็จแห่งสรีระของพระองค์ ซึ่งประกอบด้วยจักกลักษณะ หากครองเรือนก็จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ หากออกบวชก็จักเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ผู้มีกิเลส ดุจหลังคาเปิดแล้ว ดังนี้ จึงถวายอภิวาทพระทศพล โดยการพบ
ครั้งแรกเท่านั้น ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดมาประทับ ทางนี้ ปูลาดอาสนะถวายแล้ว พระตถาคตประทับนั่งแสดงธรรม แก่โคตมดาบส ขณะนั้นพวกชฎิลเหล่านั้นมาด้วยหมายว่า จักให้ผลหมากรากไม้ในป่าที่ประณีต ๆ แก่อาจารย์ ส่วนที่เหลือจักบริโภคเอง ดังนี้ เห็นพระทศพลประทับนั่งบนอาสนะสูง แต่อาจารย์นั่งบนอาสนะต่ำ ต่างสนทนากันว่า พวกเราคิดกันว่า ในโลกนี้ไม่มีใครที่ยิ่งกว่าอาจารย์ของเรา แต่บัดนี้ปรากฏว่า บุรุษนี้ผู้เดียวให้อาจารย์ของเรานั่งบนอาสนะต่ำ ตนเองนั่งบนอาสนะสูง มนุษย์นี้ทีจะเป็นใหญ่หนอ ดังนี้ ต่างถือตระกร้าพากันมา โคตมดาบสเกรงว่า ชฎิลเหล่านี้จะพึงไหว้เราในสำนักพระทศพล จึงกล่าวว่าพ่อทั้งหลายอย่าไหว้เรา บุคคลผู้เลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลกเป็นผู้ควรที่ท่านทุกคนพึงไหว้ได้ ท่านทั้งหลายจงไหว้บุรุษผู้นี้ ดาบสทั้งหลายคิดว่า อาจารย์ไม่รู้คงไม่พูด จึงถวายบังคมพระบาทแห่งพระตถาคตเจ้าหมดทุกองค์ โคตมดาบสกล่าวว่า พ่อทั้งหลาย เราไม่มีโภชนะอย่างอื่นที่สมควรถวายแด่พระทศพล เราจักถวายผลหมากรากไม้ในป่านี้ จึงเลือกผลาผลที่ประณีต ๆ บรรจงวางไว้ในบาตรของพระพุทธเจ้า ถวายแล้ว พระศาสดาเสวยผลหมาก-รากไม้ในป่าแล้ว ต่อจากนั้น แม้ดาบสเองกับอันเตวาสิกจึงฉันพระศาสดาเสวยเสร็จแล้วทรงพระดำริว่า พระอัครสาวกทั้ง ๒ จงพาภิกษุแสนรูปมา ในขณะนั้น พระมหาวิมลเถระอัครสาวกรำลึกว่าพระศาสดาเสด็จไปที่ไหนหนอ ที่ทราบว่า พระศาสดาทรงประสงค์ให้เราไปจึงพาภิกษุแสนรูปไปเฝ้าถวายบังคมอยู่ พระดาบสกล่าวกะอันเตวาสิกว่า พ่อทั้งหลาย พวกเราไม่มีสักการะอื่น (ทั้ง) ภิกษุสงฆ์ก็ยืนอยู่ลำบาก เราจักปูลาดบุปผาสนะถวายภิกษุสงฆ์มีพระพุทธ องค์เจ้าเป็นประธาน ท่านทั้งหลายจงไปนำเอาดอกไม้ที่เกิดทั้งบนบก ทั้งในน้ำมาเถิด ในทันใดนั้นเอง ดาบสเหล่านั้น จึงนำเอาดอกไม้อันสมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นมาจากเชิงเขาด้วยอิทธิฤทธิ์ ปูลาด อาสนะทั้งหลายโดยนัยที่กล่าวไว้ในเรื่องของพระสารีบุตรเถระนั้นแล การเข้านิโรธสมาบัติก็ดี การกั้นฉัตรก็ดี ทุเรื่อง พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นแลในวันที่ ๗ พระศาสดาทรงออกจากนิโรธสมาบัติ ทรงเห็นดาบสทั้งหลายยืนล้อมอยู่ จึงตรัสเรียกพระสาวกผู้บรรลุเอตทัคคะในความเป็นพระธรรมกถึกตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ หมู่ฤาษีนี้ ได้กระทำสักการะใหญ่ เธอจงกระทำอนุโมทนาบุปผาสนะแก่หมู่ฤาษีเหล่านี้ ภิกษุนั้นรับพระพุทธดำรัสแล้วพิจารณาพระไตรปิฎกกระทำอนุโมทนา เวลาจบเทศนาของภิกษุนั้นพระศาสดาทรงเปล่งพระสุระเสียงดุจเสียงพรหมแสดงธรรมด้วยพระองค์เอง เมื่อจบเทศนา (เว้น) โคตรดาบสเสีย ชฎิล ๑๘,๐๐๐ รูปที่เหลือได้บรรลุพระอรหัต ส่วนโคตมดาบสไม่อาจทำการแทงตลอดโดยอัตภาพนั้น จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุผู้ที่แสดงธรรมก่อนนี้ ชื่อว่าอย่างไร ในศาสนาของพระองค์ พ.ตรัสว่า โคตมดาบส ภิกษุ นี้เป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกในศาสนาของเราโคตรดาบสหมอบแทบบาทมูล กระทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยผลแห่งบุญกุศลที่ข้าพระองค์ทำมา ๗ วันนี้ ข้าพระองค์พึงเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคต เหมือนดังภิกษุรูปนี้ พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตกาล ก็ทรงทราบว่าความปรารถนาของโคตมดาบสนั้นสำเร็จโดยหาอันตรายมิได้แล้วทรงพยากรณ์ว่าในที่สุดแห่งแสนกัปในอนาคตกาลพระ-
พุทธเจ้าพระนามว่า โคตร จักทรงอุบัติขึ้น ท่านจักเป็นยอดของเหล่าภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกในศาสนาของพระองค์แล้วตรัสกะดาบสผู้บรรลุพระอรหัตว่า เอก ภิกขโว จงเป็นภิกษุมาเถิดดังนี้ ดาบสทุกรูปมีผมและหนวดอันตรธานไป ทรงบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นเช่นกับพระเถระ ๑๐๐ พรรษาพระศาสดาทรงพาภิกษุสงฆ์เสด็จกลับพระวิหาร ฝ่ายโคตม-ดาบสก็บำรุงพระตถาคตจนตลอดชีวิต บำเพ็ญแต่กัลยาณกรรมตามกำลัง เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายแสนกัปครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา จึงมาเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในหมู่บ้านพราหมณ์ ชื่อโทณวัตถุไม่ไกลกรุงกบิลพัสดุ์ในวันขนานนามของท่าน พวกญาติขนานนามท่านว่า ปุณณมาณพ

จากสารานุกรม

<<< back

พระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุพระพุทธสาวก
พุทธบูชา 2542 - 2553 @ http://www.relicsofbuddha.com