พระญาณสิทธาจารย์
(สิงห์ สุนทโร, หลวงปู่เมตตาหลวง)
วัดเทพพิทักษ์ปุณณาราม อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
พระญาณสิทธาจารย์ (สิงห์ สุนฺทโร) หรือที่รู้กันทั่วไปในนาม
หลวงปู่เมตตาหลวง ท่านมีนามเดิมว่า สิงห์ เนียมอ้ม เกิดวันที่
29 ตุลาคม พ.ศ.2452 ปีระกา หมู่บ้านตำบลสะอาด หมู่ 3 อ.น้ำพอง
จ.ขอนแก่น โยมบิดาชื่อ หา โยมมารดาชื่อ ปาน มีพี่น้องทั้งหมด
10 คน โดยหลวงปู่เป็นคนที่ 2
ชีวิตสมณะ
การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
หลวงปู่ได้บวชเป็นเณรเมื่ออายุได้
11 ขวบ ซึ่งเป็นการบวชหน้าไฟอุทิศให้แก่คุณตาที่ถึงแก่กรรม
แต่อย่างไรก็ดี การบรรพชาในครั้งนี้ท่านตั้งใจบวชเพื่ออุทิศบุญกุศลและถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา
ณ วัดบ้านหนองอ้อใหญ่ ต.สะอาด อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นการบวชฝ่ายมหานิกาย
หลังจากบรรพชาได้ 2 ปี พระอุปัชฌาย์ของท่านได้เห็นความตั้งใจจริง
และมองการณ์ไกลต่อไปในอนาคต จึงได้บวชให้ใหม่เป็นฝ่ายธรรมยุติ
ต่อมาจึงให้หลวงปู่ไปศึกษาหนังสือที่วัดศรีจันทร์ ต.ในเมือง
อ.เมือง จ.ขอนแก่น ซึ่งในช่วงนี้ ท่านได้ติดตามพระภิกษุรูปหนึ่ง
ไปยังวัดอุ่มเม่า จ.กาฬสินธุ์ แล้วจึงกลับมายังวัดศรีจันทร์อีกครั้ง
ในปี
พ.ศ.2472 หลวงปู่จึงได้อุปสมบทที่วัดศรีจันทร์ โดยมี พระครูพิเศษสุตคุณ
(ต่อมาเป็น พระครูพิศาลเจริญเขต (จันทร์ เขมิโย)) เป็นพระอุปัชฌาย์
ได้รับฉายาว่า สุนฺทโร ด้วยความที่ท่านมีนิสัยขยันหมั่นเพียร
อ่านท่องหนังสือ จึงทำให้มีผู้สนใจ รบเร้าให้พระอุปัชฌาย์พาท่านเพื่อมาศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ
ซึ่งก็ได้รับความยินยอมตามประสงค์ พระอุปัชฌาย์ท่านจึงได้พาตัวหลวงปู่ไปถวายกับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์
(อ้วน ติสโต) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาสฯ ในขณะนั้น ซึ่งท่านก็ได้เรียนนักธรรมที่กรุงเทพฯ
และสอบมาเรื่องๆ จนกระทั่งได้เปริญธรรม 6 ประโยค ในปี พ.ศ.2481
ซึ่งท่านมีอายุได้ 29 ปี จึงได้เดินทางกลับภูมิลำเนา
เมื่อหลวงปู่กลับไปถึง
อ.น้ำพอง จ.ขอนแก่น ท่านได้รับตำแหน่งหน้าที่เป็นพระสังฆาธิการเจ้าคณะอำเภอ
ซึ่งในขณะนั้น ท่านก็ได้นำวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมา นำมาสอนแก่กุลบุตรผู้สนใจ
และได้ตั้งสำนักเรียนพระปริยัติธรรม ณ วัดเสี้ยวโคกลาง อ.น้ำพอง
จ ขอนแก่น ซึ่งในช่วงเวลานี้ หาว่างเว้นจากการสอนท่านก็จะหามุมเงียบสงบ
เจริญปฏิบัติภาวนาในป่าเขาเช่นกัน ต่อมาหลวงปู่ก็ได้พบกับหลวงปู่คำดี
ปภาโส ซึ่งหลวงปู่คำดี ได้แนะวิธีเจริญปฏิบัติภาวนาให้ ท่านจึงเคารพหลวงปู่คำดีเป็นอย่างยิ่ง
ครั้งต่อมาหลวงปู่ขาว อนาลโย ได้ธุดงค์หาความวิเวกผ่าน จ.เลย
หลวงปู่จึงได้เดินทางธุดงค์ไปพร้อมหลวงปู่ขาว ซึ่งหลวงปู่ขาวได้สอนหลวงปู่ให้สวดมนต์คาถาเมตตาหลวง
ซึ่งท่านก็ได้นำมาเผยแพร่ให้ลูกศิษย์ จนกระทั่งผู้คนให้สมญานามท่านว่า
หลวงปู่เมตตาหลวง เมื่อท่านอยู่ศึกษากับหลวงปู่ขาวได้เวลาสมควร
จึงย้อนกลับมาปฏิบัติอยู่กับหลวงปู่คำดีเช่นเดิม
หลังจากนั้นหลวงปู่ยังได้พบกับครูบาอาจารย์อีกหลายรูปหลายองค์
และต่อมาได้ติดตามสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) มาจำพรรษาที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ
กรุงเทพฯ ซึ่งสมเด็จฯท่านเห็นความเหมาะสมของหลวงปู่ จึงได้แต่งตั้งท่านเป็นพระธรรมฑูต
ไปแสดงพระธรรมเทศนาตามสถานที่ต่างๆ เป็นเวลา 4 ปี จึงลาออกจากตำแหน่ง
ในช่วงที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดพระศรีมหาธาตุฯ
หลวงปู่ได้มาศึกษาอยู่กับพ่อท่านลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการด้วย
ซึ่งภายหลัง ท่านจึงติดตามพ่อท่านลีออกธุดงค์เดินทางไปภาคอิสาน
ออกวิเวกตามสถานที่ต่างๆ จนกระทั่งมาถึงดงพญาเย็น ท่านได้พักปฏิบัติธรรมอยู่
ณ ที่นั้น ซึ่งเป็นเชิงเขาที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "เขาสีเสียดอ้า"
ซึ่งพ่อท่านลี มีดำริสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขึ้นองค์หนึ่งบนภูเขา
จนกระทั่งมีคณะศรัทธามาสร้างพระพุทธรูปและวัดเทพพิทักษ์ปุณณารามขึ้น
แต่พระพุทธรูปไม่ทันจะสร้างเสร็จพ่อท่านลีก็มรณภาพลงเสียก่อน
คณะศรัทธาจึงนิมนต์หลวงปู่เมตตาหลวงขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งหลวงปู่ก็ได้จำพรรษาที่นี่
และอบรมสั่งสอนประชาชนอยู่จนกระทั่งมรณภาพ เมื่อวันที่.................
สิริรวมอายุได้........ปี
พรรษาที่...........
ธรรมโอวาท
๑.
ภาพพระธาตุ
แหล่งข้อมูล:
ตัดทอนและเรียบเรียงจากนิตยสารโลกทิพย์ |