สมเด็จพระมหามุนีวงศ์
(สนั่น จันทปัชโชโต)
วัดนรนารถสุนทริการาม จ.กรุงเทพฯ
ชาติกำเนิดและชีวิตปฐมวัย
หลวงปู่สนั่น ถือกำเนิดในสกุล สรรพสาร เป็นบุตรคนที่ 6 ในจำนวน
10 คน ของคุณพ่อกำนันคำพ่วย และ คุณแม่แอ้ม สรรพสาร ณ บ้านหนองบ่อ
ตำบลหนองบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี วันที่ 8 กันยายน
พ.ศ.2451 ในแผ่นดินรัชกาลที่ 5
ชีวิตสมณะ
การแสวงหาธรรม และปฏิปทา
บรรพชาเป็นสามเณร
เมื่อยังเด็ก หลวงปู่มีอุปนิสัยรักในการบวช มักพูดว่าอยากไปบวชเณร
และชอบที่จะคลุกคลีอยู่กับผู้ใหญ่ มากกว่าเด็กๆวัยเดียวกัน
มีแววเฉลียวฉลาดและสติปัญญาดี ท่านได้รับการเลี้ยงดูจากคุณลุงเคน
และคุณป้าแก้ว ซึ่งเป็นพี่สาวของโยมมารดา ตั้งแต่ยังเล็กๆ
ท่านอยู่กับคุณป้าแก้วได้อายุประมาณ 9 ขวบ คุณป้าแก้วก็เสียชีวิตลง
หลวงปู่ได้บวชหน้าไฟอุทิศให้แก่คุณป้าในงานวันฌาปณกิจศพ โดยมี
พระอธิการเคน คมฺภีรปญฺโญ (สรรพสาร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ณ วัดบูรพาพิสัย
การบวชเป็นเณรของหลวงปู่ในครั้งนั้น ท่านได้ศึกษาเล่าเรียน
และปรนนิบัติรับใช้พระอุปัชฌาย์ เป็นเวลา 4 ปี
ต่อมาท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก
(ชิตเสโน เสน) ได้รับหลวงปู่เข้าเป็นลูกศิษย์ เนื่องจากถูกอัธยาศัยกับท่านเมื่อครั้งท่านไปพักที่วัดบูรพาพิสัย
ครั้งนั้นหลวงปู่จึงได้ย้ายมาจำวัดที่วัดศรีทอง จ.อุบลราชธานี
และในช่วงนี้เองท่านได้เข้าศึกษาภาษาไทยและบาลีไวยากรณ์กับท่านเจ้าคุณพระศรีธรรมวงศาจารย์
(ทองจันทร์ เกสโร) ที่โรงเรียนอุบลวิทยาคม วัดสุปัฏนาราม จ.อุบลราชธานี
อุปสมบท
พ.ศ.
2468 ท่านเจ้าคุณพระศาสนดิลก (เสน ชิตเสโน) ได้ฝากฝังหลวงปู่ไว้ให้อยู่ในปกครองของท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท) ที่วัดบรมนิวาสฯ จ.กรุงเทพฯ ณ ที่นี้หลวงปู่ได้เริ่มต้นศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างจริงจัง
และได้อุปสมบทที่วัดบรมนิวาสฯนี้เอง ในปี พ.ศ.2471 โดยมี พระครูศีลวรคุณ
(อ่ำ ภทฺราวุโธ)เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอมราภิรักขิต (ชัย ชิตมาโร)เป็นพระกรรมวาจาจารย์
โดยได้รับฉายาว่า จนฺทปชฺโชโต
หลวงปู่ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมมาอย่างต่อเนื่อง
ด้วยความขยันและอดทน และสำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรม เปรียญ
9 ได้ในปี พ.ศ.2486 ขณะที่หลวงปู่มีอายุได้ 23 ปี ในช่วงอายุนี้ท่านได้เป็นครูสอนพระปริยัติธรรม
และช่วยงานการปกครองคณะสงฆ์ของจังหวัด ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์
(จันทร์ สิริจนฺโท) ได้อนุญาตให้หลวงปู่ไปช่วยงานได้ตามที่ขอมา
ซึ่งหลวงปู่ก็ได้ไปอยู่ช่วยงานที่จังหวัดจันทบุรีอยู่ 3 ปี
ตั้งแต่ปี พ.ศ.2472-2524 หลวงปู่ได้ทำหน้าที่เป็นครูสอนพระปริยัติธรรมตามสำนักเรียนต่างๆ
ในวัย
36 ปี (พ.ศ.2486) หลวงปู่ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสังฆสภา
จากนั้นท่านก็ได้ดำรงตำแหน่งและหน้าที่ต่างๆเพื่อประโยชน์ทางพระพุทธศาสนา
ทั้งด้านการศึกษา การปกครอง การเผยแผ่ และสาธารณูปการต่างๆอย่างเต็มความสามารถ
ในปี พ.ศ.2489 หลวงปู่มีสมณศักดิ์ในขณะนั้นที่ พระอมรเวที
ท่านได้รับหน้าที่จาก สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
(ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์ สุจิตฺโต) วัดบวรนิเวศวิหาร ให้ไปอยู่ช่วยงานที่กองตำรามหามกุฏฯ
ที่วัดนรนาถสุนทริการาม หลวงปู่จึงย้ายไปจำพรรษาที่วัดนรนาถฯ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลวงปู่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ต่างๆ
จนกระทั่งในปี พ.ศ.2532 ท่านได้รับพระราชทานสถาปนาสมณศักดิ์ขึ้นเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่
"สมเด็จพระมหามุนีวงศ์"
หลวงปู่ได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะหรือสมณศักดิ์ใด ท่านมีความมักน้อย สันโดษ
ไม่โอ้อวด ไม่ถือยศตลอดอายุของท่าน บรรดาพระป่ากัมมัฏฐานต่างๆ
เช่น หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปณฺโณ ได้กล่าวถึงหลวงปู่ว่า "เป็นพระแท้
กราบไหว้ได้ด้วยความสนิทใจ" โดยทุกๆเช้าหลวงปู่จะตื่นตี
4 ลุกขึ้นมาไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิไปจนกระทั่ง 6 โมงเช้า
จากนั้นจึงลงไปเดินจงกรมรอบๆโบสถ์ ปฏิบัติเช่นนี้มาตลอด ไม่เคยขาดแม้กระทั่งเจ็บป่วย
ท่านเคยได้ออกธุดงค์และบำเพ็ญเพียรในป่า ตามแบบอย่างของครูบาอาจารย์ของท่าน
มีท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) และ หลวงปู่มั่น
ภูริทตฺโต เป็นต้น
ในช่วงท้ายของชีวิต
หลวงปู่ได้อาพาธด้วยโรคไต และปอด มีอาการเจ็บป่วยอยู่เป็นระยะ
ในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ.2541 หลวงปู่เข้ารับการรักษาอาการอาพาธ
ในครั้งนี้หลวงปู่ได้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้แก่ เบาหวาน
ความดันต่ำ และหอบหืด ทำให้มีอาการรุนแรงกว่าทุกครั้ง หลวงปู่มีสติดีเยี่ยม
รับรู้อาการทรมานแห่งโรค รับรู้การรักษาพยาบาล ซึ่งท่านไม่ได้มีอาการทุรนทุราย
กระสับกระสาย หรือร้องครวญครางให้ใครได้ยินเลย ท่านแสดงถึงความเข้มแข็งและเด็ดเดี่ยว
จนกระทั่งวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2541 หลวงปู่อยู่ในอารมณ์สมาธิ
เงียบสงบ ลมหายใจแผ่วเบา และอ่อนลงตามลำดับ จนกระทั่งมรณภาพลง
สิริอายุรวม 90 ปี 1 เดือน 24 วัน พรรษาที่ 71
ธรรมโอวาท
๑. การปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะปฏิบัติแนวไหน สายไหน ก็ใช้ได้ทั้งนั้น
สำคัญตรงที่เราปฏิบัติกันอย่างจริงๆจังๆ ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าจะปฏิบัติในแบบภาวนาพุทโธ หรือ สัมมาอะระหัง หรือยุบหนอพองหนอ
เป็นต้น แต่ละอย่างล้วนต่างก็ให้ผลดี คือทำจิตใจให้สงบระงับจากกิเลสอาสวะได้ทั้งสิ้น
ภาพพระธาตุ
แหล่งข้อมูล:
ตัดทอน/เรียบเรียงจาก วัดนรนาถสุนทริการาม.
2542. สมเด็จพระมหามุนีวงศ์.มหามกุฏราชวิทยาลัย,
กรุงเทพฯ. |