ประสบการณ์นี้เป็นของคุณครูท่านหนึ่ง
ไม่ประสงค์จะออกนามส่งมาให้ครับ
เริ่มแรกที่ข้าพเจ้ารู้จักพระบรมสารีริกธาตุนั้น
เพราะในขณะนั้นคุณอาของข้าพเจ้า ได้มาจากท่านผู้ใหญ่ที่ท่านนับถือ
ตอนได้มาได้มาประมาณ 7 องค์เท่านั้น ครั้งแรกที่เห็นข้าพเจ้านึกในใจว่า
ทำไมถึงเป็นเม็ดกรวด และมีลักษณะมันเลื่อม แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่
คือตอนนั้นใครเขาว่าเป็นพระธาตุเราก็ว่าตามเขา ไม่ได้คิดอะไร
หลังจากนั้น 4 ปี ข้าพเจ้าก็เห็นปรากฏการณ์หนึ่ง ที่เกี่ยวเนื่องด้วยปาฏิหาริย์ของพระบรมสารีริกธาตุ
คืนวันนั้นข้าพเจ้านอนอยู่บนบ้านทรงไทยสมัยเก่าซึ่งเป็นไม้ และเวลานอนก็จะนอนกางมุ้ง
โดยจะมีหิ้งพระอยู่บนหัวนอน โดยหิ้งพระจะเยื้องจากมุ้งประมาณวาเศษ
ข้าพเจ้าเอี้ยวตัวลงนอนแล้วเปิดเพลงฟังเป็นปกติ
นึกอย่างไรไม่ทราบ
สายตาจากที่ไม่เคยหันไปมองที่หิ้งพระแต่ไหนแต่ไร ก็กลับต้องมอง
เหมือนมีอะไรดลใจ ภาพที่เห็นติดตาติดใจ จนกระทั่งทุกวันนี้คือ
แสงดวงขนาดนิ้วหัวแม่โป้งลอยจากหิ้งพระอย่างช้าๆ ลักษณะของแสงนั้นเป็นดวงสีเขียวคล้ายกับแสงเลเซอร์สีเขียวอย่างไรก็อย่างนั้นเลย
ความสว่างของแสงไม่ทำให้เกิดเงากับวัตถุที่แสงนั้นลอยผ่าน ดวงไฟปริศนานี้ได้ลอยมาวนบนมุ้งที่ข้าพเจ้านอน
ลักษณะการวนเป็นวงกลม กลมก็กลมจริงๆ ไม่มีบิดเบี้ยวเลยแม้แต่น้อย
และยังวนตามเข็มนาฬิกาอีก ข้าพเจ้าจับตาดูจนกระทั่งแสงนั้นลอยหายไปบริเวณชานบ้าน
พอได้สติก็รีบวิ่งไปบอกคนที่บ้านว่าเมื่อ ตะกี้เห็นแสงอะไรก็ไม่รู้สวยเชียว
อาของข้าพเจ้าก็เลยบอกว่า เคยเห็นเหมือนกัน ลักษณะแบบเดียวกัน
แต่เพียงแค่ไม่เห็นที่มาเท่านั้นว่าลอยมาจากไหน หลังจากนั้นได้มีโอกาสได้ไปกราบครูบาอาจารย์ในโอกาสที่ท่านมากิจนิมนต์ที่บ้านข้าพเจ้า
ซึ่งจะนิมนต์เป็นประจำแทบทุกปี จึงได้เล่าเหตุการณ์ถวาย และเลยถือโอกาสกราบเรียนถามท่านว่า
เอท่านอาจารย์แสงที่เห็นเป็นแสงอะไรแน่ ท่านได้ให้ความกระจ่างว่า
แสงที่เห็นเป็นแสงของพระบรมสารีริกธาตุทำปาฏิหาริย์ให้โยมเห็น
แสดงว่าโยมมีบารมีเกี่ยวเนื่องด้วยพระธาตุ เพราะครั้งที่อาตมาไปสร้างวัด.......ใหม่ๆ
อาตมาก็เคยเห็นเหมือนกัน ข้าพเจ้าในตอนนั้นบอกตามตรงว่า ปีติมาก
แม้ว่าพระพุทธองค์จะปรินิพพานไปนานมากแล้วยังมีเมตตากับข้าพเจ้า
ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดก็คงจะยังไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
แต่ก็ยังคงสงสัยว่าจะเกี่ยวเนื่องกันกับพระธาตุอย่างไร ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมาก
เพราะคิดว่าห่างไกลตัวเองมาก แค่นี้ก็ปลื้มใจมากพอแล้ว
หลังจากนั้น
3 ปี ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปกราบพระธาตุครูบาอาจารย์ที่บ้านคุณหญิงสุรีพันธุ์
และคุณอารยะ หวังทวีวิทย์ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่าอยากได้ไว้บูชาเพื่อเป็นศิริมงคลกับตนเองและครอบครัว
ข้าพเจ้าก็เลยลองอัญเชิญพระธาตุดู ท่านก็มาให้จริงๆ โดยถ้าจำไม่ผิดองค์แรกทีอธิษฐานขอ
เห็นจะเป็นของท่านพระอาจารย์สิงห์ทอง ธัมมวโร วัดป่าแก้วบ้านชุมพล
จังหวัด สกลนคร เพราะได้อ่านคำสอนของท่านแล้ว รู้สึกประทับใจมาก
พระธาตุที่เสด็จมานั้นลักษณะเป็นแก้วใส 1 องค์ ข้าพเจ้าดีใจมาก
ที่ท่านเสด็จมา เพราะครั้งนั้นข้าพเจ้าได้อธิษฐานเสี่ยงบารมีว่า
ถ้ามีบุญวาสนา และ บารมีทางพระธาตุอย่างแท้จริงแล้วขอให้พระธาตุเสด็จมาโปรด
ถ้าไม่มาแล้วไซร้ข้าพเจ้าจะไม่ขออีกเลย
ระยะนั้นนึกอยากได้องค์ไหนท่านก็มาๆๆ
ให้ พอระยะหลังๆที่ได้อัญเชิญท่านก็ไม่มา ซึ่งตามปกติแล้วหลังจากสวดมนต์และนั่งสมาธิแล้วพอลืมตามาก็จะปรากฏบนผ้าขาวที่เตรียมไว้
แต่ครั้งหลังๆนี้ หนึ่งวันก็แล้ว สองวันล่วงไปแล้ว ก็ยังไม่มา
จนกระทั่งข้าพเจ้าอ่อนใจที่จะอัญเชิญต่อ แต่ก็ยังคงฉงนใจและแปลกใจว่าทำไมท่านไม่มาให้
หรือว่าเราทำอะไรที่ไม่ถูกไม่ควรหรือเปล่า ลองมานั่งย้อนนึกดูก็ไม่มีอะไรนี่นา
นึกอยู่ในใจแค่นั้น ความสงสัยก็ยังคงอยู่อีกนั่นแหละ จนกระทั่งได้คุยโทรศัพท์กับท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่งก็เลยเล่าถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาให้ท่านฟัง
ท่านก็พลอยตื่นเต้นไปกับข้าพเจ้า จนท่านพูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า
ถ้ามีบารมีจริงแล้วทำไมถึงต้องอัญเชิญล่ะ
สู้ให้ท่านมาหาเราเองไม่ดีกว่าเหรอ ข้าพเจ้าก็เลยสว่างวาบขึ้นมาในใจว่า
ลูกรู้แล้วว่าเพราะเหตุใดท่านจึงไม่เสด็จมา เหตุผลก็คือว่า เราไปยึดมั่นถือมั่น
ในองค์พระธาตุว่าถ้าเราขอท่านต้องมาให้ และมีความประมาท มากว่าเรานี้แน่
อธิษฐานทีไรท่านก็มาให้ทุกที ในครั้งแรกที่ท่านมาๆๆให้ เพราะท่านต้องการให้ข้าพเจ้ามีความตั้งมั่น
ในพระพุทธศาสนา ให้มีความเชื่อว่า คุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม
และ พระอริยะสงฆ์ซึ่งยังปรากฏอยู่ในโลกนี้ มิได้เสื่อมสูญหายไปไหน
เสมือนหนึ่งขนมหวานที่ล่อให้ติดใจ
แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มอด เริ่มทรมานให้รู้ถึงแก่นแท้ ให้รู้ถึงธรรม
จนมีผู้เคยพูดว่าพระบรมสารีริกธาตุท่านเสด็จมาสอนธรรม ตอนนั้นก็ยังสงสัยว่า
ท่านจะมาสอนได้ยังไงก็ท่านเป็นลักษณะเป็นก้อนกลมๆ คล้ายหินกรวดที่มีลักษณะงดงามเพียงแค่นั้นเอง
บัดนี้แจ้งใจแล้วว่าท่านมาสอนได้อย่างไร ข้าพเจ้าเลยเริ่มต้นใหม่โดย
ตั้งไว้ว่าเอาละนับแต่นี้ ข้าพเจ้าจะไม่อัญเชิญพระธาตุอีกแล้ว
แต่ถ้าท่านเมตตาจริงท่านก็คงมาให้เอง แล้วก็หันมาภาวนา ครั้งแรกๆก็อดไม่ได้ที่จะขอท่านว่าอยากได้
ขอบารมีท่านเสด็จมาโปรดด้วยเถิด นึกในใจ ปรากฏว่าไม่มาเลยซักองค์เดียวคราวนี้
ก็เลยลองใหม่คิดว่าจิตคงจะไม่มั่นคงเท่าที่ควร ลองแล้วลองอีกก็ไม่มา
ก็ตัดใจว่าคงไม่ได้ไว้แล้วละ คงไม่มีวาสนา หลังจากนั้นไม่นานก็มีผู้นำมาให้
บางทีครูบาอาจารย์ท่านก็นำมาให้เป็นอย่างนี้ทุกทีไป ก็เลยมาย้อนคิดดูว่าคงเป็นเพราะว่ายังมีความอยากได้ท่านก็เลยไม่มาซะ
แต่พอตัดใจจากองค์นั้นๆได้ ท่านคงจะว่า ทรมานมันมาพอสมควรแล้ว
ให้มันหลาบจำ ว่าคราวหลังอย่าโลภ พอโลภก็จะขัดขวางความก้าวหน้าของจิต
แต่พอสามารถที่จะละวางได้บ้างแล้ว ท่านถึงจะให้มาเป็นกำลังใจในการปฏิบัติธรรมต่อไป
สมัยก่อนข้าพเจ้าเคยคิดอยากจะเขียนเล่าถึงปาฏิหาริย์ของพระธาตุที่ข้าพเจ้าได้พบซึ่งมากมาย
หากนำมาเล่าก็อาจยาวมากขนาดเขียนเป็นเล่มได้ แต่พอบัดนี้แล้วข้าพเจ้าคิดว่า
คนทั่วไปเขามักจะเล่าถึงว่าเขาประสบปาฏิหาริย์พระธาตุอย่างไรบ้าง
ซึ่งก็มีผู้เขียนมามากแล้ว แต่ข้าพเจ้ากลับมองว่าทำอย่างไรต่างหากที่พระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาโปรด
และท่านสอนธรรมอะไรบ้าง อย่างหนึ่งเลยก็คือ
ศีล คือสิ่งที่สำคัญ เป็นบาทฐาน
ข้าพเจ้าก็ยังต้องยอมรับว่าบางครั้งก็ด่างพร้อยไปบ้าง
เพราะมิได้วิเศษวิโสอะไร เป็นธรรมดาของผู้ที่ยังมีอวิชชาเข้าครอบงำอยู่
ซึ่งยังไม่สามารถกำจัดได้ซะทีเดียว และที่สำคัญคือ
สมาธิ การนั่งภาวนาดูจิตใจของตนเอง
โดยไม่ต้องไปแส่ส่ายหาสิ่งภายนอกอย่างอื่น
ในความคิดของข้าพเจ้าคิดว่าสิ่งเหล่านี้แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการที่พระธาตุเสด็จมาโปรดหรือไม่
แล้วต้องกอปรด้วยบารมีเก่าที่เกี่ยวเนื่องกับพระธาตุ เช่นเคยอุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา
หรือ เคยร่วมการสังคายนาพระไตรปิฎก ( เท่าที่ได้ฟังมา ไม่แน่ใจว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร)
ในความคิดของข้าพเจ้า อยากจะขอให้ท่านทีได้มีโอกาสสักการบูชาพระธาตุอยู่แล้วพยายามสักการบูชาให้เกิดบุญกุศลกับตัวท่านให้มากที่สุด
อยากจะขอให้ท่านมองพระธาตุท่านเสมือนว่า
ท่านให้ข้อคิดต่างๆด้านธรรมะมากกว่า ที่จะมาคุยอวดกันว่า ท่านผู้ใดมีมาก
ท่านผู้นั้นคือผู้ที่มีบารมีมาก เพราะพระธาตุมิใช่ของสะสมที่ไว้อวดบารมี
ซ้ำยังก่อให้เกิดความโลภแก่ผู้อื่นเสียด้วยซ้ำ ให้เข้าใจว่าพระธาตุคือส่วนหนึ่งของพระสรีระของพระพุทธองค์
แล พระอรหันตสาวก เป็นเครื่องระลึกถึงคุณอันอเนกอนันต์ของพระพุทธเจ้า
พระธรรม แล พระสงฆ์ รวมไปถึงการเผยแผ่พระพุทธศาสนา และการดำรงคงอยู่ของพระพุทธศาสนา
จวบจนห้าพันพระวสา
|